วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บทที่10 กฎหมายและจริยธรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ


ทำไมต้องมีการออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ  ?
           สังคมสารสนเทศเป็นสังคมใหม่ การอยู่ร่วมกันในสังคมสารสนเทศ จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ เพื่อการ อยู่ร่วมกันโดยสันติและสงบสุข เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทุกวันนี้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาท ในชีวิตประจำวันมีการใช้คอมพิวเตอร์ และระบบสื่อสารกันมาก ขณะเดียวกันก็มีผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทางที่ไม่ถูก ไม่ควร ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ และเมื่อมีกฎหมายแล้ว ผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะปฏิเสธ ความผิดว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้


กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
          กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทยเริ่มวันที่ 15 ธันวาคม 2541 โดยคณะ กรรมการ
เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (กทสช) ได้ท าการศึกษาและยกร่างกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน6 ฉบับ

1. กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transactions Law) 
       เพื่อรับรองสถานะทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้เสมอด้วยกระดาษ อันเป็นการรองรับ
นิติสัมพันธ์ต่าง ๆ ซึ่งแต่เดิมอาจจะจัดท าขึ้นในรูปแบบของหนังสือให้เท่าเทียมกับนิติสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่จัดท าขึ้นให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ รวมตลอดทั้งการลงลายมือชื่อในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
และการรับฟังพยานหลักฐานที่อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์

2. กฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signatures Law)
     เพื่อรับรองการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยกระบวนการใด ๆ ทางเทคโนโลยีให้เสมอด้วยการลง
ลายมือชื่อธรรมดา อันส่งผลต่อความเชื่อมั่นมากขึ้นในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และกำหนดให้มีการกำกับดูแลการให้บริการ เกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ตลอดจนการให้ บริการอื่น ที่เกี่ยวข้องกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ 

3. กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่วถึง และเท่าเทียมกัน  (National Information Infrastructure Law)
          เพื่อก่อให้เกิดการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ อันได้แก่โครงข่าย
โทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ สารสนเทศทรัพยากรมนุษย์ และโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศสำคัญอื่น ๆ อันเป็นปัจจัยพื้นฐาน สำคัญในการพัฒนาสังคม และชุมชนโดยอาศัยกลไกของรัฐ ซึ่งรองรับเจตนารมณ์สำคัญประการหนึ่งของแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 78 ในการกระจายสารสนเทศให้ทั่วถึง และเท่าเทียมกัน และนับเป็ นกลไกส าคัญในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำของสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีศักยภาพในการปกครองตนเองพัฒนาเศรษฐกิจภายในชุมชน และนำไปสู่สังคมแห่งปัญญา และการเรียนรู้ 

4. กฎหมายเก่ียวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law)
      เพื่อก่อให้เกิดการรับรองสิทธิ และให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งอาจถูกประมวลผลเปิดเผย
หรือเผยแพร่ถึงบุคคลจ านวนมากได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วโดยอาศัยพัฒนาการทางเทคโนโลยี จนอาจ
ก่อให้เกิดการน าข้อมูลนั้นไปใช้ในทางมิชอบอันเป็ นการละเมิดต่อเจ้าของข้อมูล ทั้งนี้โดยค านึงถึงการรักษาดุลยภาพระหว่างสิทธิขั้นพื้นฐานในความเป็ นส่วนตัว เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร และความมั่นคงของรัฐ 

5. กฎหมายเกี่ยวกับการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law)
       เพื่อกำหนดมาตรการทางอาญา ในการลงโทษผู้กระทำผิดต่อระบบการท างานของคอมพิวเตอร์
ระบบข้อมูล และระบบเครือข่าย ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองการอยู่ร่วมกันของสังคม

6. กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Funds Transfer Law)
      เพื่อกำหนดกลไกสำคัญทางกฎหมายในการรองรับระบบการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งที่เป็น
การโอนเงินระหว่างสถาบันการเงิน และ ระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ในรูปของเงินอิเล็กทรอนิกส์
ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อระบบการทำธุรกรรมทางการเงิน และการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 
          พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ผ่านการเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติ การลงพระปรมาภิไธย และการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2550 และจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เป็ นต้นไป ดังนั้นผู้ใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตโดยทั่วไป ผู้ให้บริการ ซึ่งรวมไปถึงหน่วยงานต่างๆ ที่เปิดบริการอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้อื่นหรือกลุ่มพนักงานนักศึกษาในองค์กร ควรทราบถึงรายละเอียดของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยประเทศไทยได้มีการบังคับใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

☆ อาชญากรรมคอมพิวเตอร์   
    ความหมายของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ มี 2 ประการ ได้แก่ 
1. การกระทำใด ๆ ก็ตาม ที่เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ อันทำให้เหยื่อได้รับความเสียหาย และทำให้ผู้กระทำได้รับผลตอบแทน
 2. การกระทำผิดกฎหมายใด ๆ ซึ่งจะต้องใช้ความรู้เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ มาประกอบการกระผิด และต้องใช้ผู้มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์ ในการสืบสวน ติดตาม รวบรวมหลักฐาน เพื่อการด าเนินคดี จับกุม 

     อาชญากรคอมพิวเตอร์จะก่ออาชญากรรมหลายรูปแบบ ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกจัดออกเป็ น 9      ประเภท     (ตามข้อมูลคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจร่างกฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์) 

1. การขโมยข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงการขโมยประโยชน์ในการลักลอบใช้บริการ
2. อาชญากรนำเอาระบบการสื่อสารมาปกปิดความผิดของตนเอง
3. การละเมิดสิทธิ์ปลอมแปรงรูปแบบ เลียนแบบระบบซอฟต์แวร์โดยมิชอบ
4. ใช้คอมพิวเตอร์แพร่ภาพ เสียง ลามก อนาจาร และข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
5. ใช้คอมพิวเตอร์ฟอกเงิน
6. อันธพาลทางคอมพิวเตอร์ที่เช้าไปก่อกวน ทำลายระบบสาธารณูปโภค เช่น ระบบจ่ายน้ำจ่าย
ไฟ ระบบการจราจร
7. หลอกลวงให้ร่วมค้าขายหรือลงทุนปลอม
8. แทรกแซงข้อมูลแล้วนำข้อมูลนั้นมาเป็นระโยชน์ต่อตนโดยมิชอบ เช่น ลักลอบค้นหารหัสบัตร
เครดิตของผู้อื่นมาใช้ ดักข้อมูลทางการค้าเพื่อเอาผลประโยชน์นั้นเป็นของตน
9. ใช้คอมพิวเตอร์แอบโอนเงินบัญชีผู้อื่นเข้าบัญชีตัวเอง

◣◥ กรณีศึกษาอาชญากรรมและกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
            โหลดโปรแกรมหรือเพลงทางอินเทอร์เน็ตผิดกฎหมายหรือเปล่า?

     
การ Download โปรแกรมทางอินเทอร์เน็ตมาใช้งานแบบถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ก็ตอ่ เมื่อโปรแกรมที่ผ้ใช้ Download มาใช้นั้น ถูกระบุว่าเป็ นประเภท Freeware, Shareware สำหรับการโหลดเพลงทางอินเทอร์เน็ตสามารถทำได้โดยไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หากได้รับอนญุ าตแต่โดยทั่วไปแล้วค่ายเพลงมักจะไม่อนุญาต ยกเว้นจะทำเพื่อการค้า ส่วนการ Upload เพลงขึ้นบนอินเทอร์เน็ตให้คนทวั่ ไปโหลดได้ฟรี ๆ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นคดีอาญา
             ซื้อโปรแกรมลิขสิทธิ์มา copy แจกเพื่อนได้หรือเปล่า? 
      การทำ สำเนาหรือการ copy โปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น ตามกฎหมายลิขสิทธิ์เขาเรียกว่า การทำซ้ำซึ่ง ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ แม้กฎหมายเขาจะมีข้อยกเว้นให้การทำสำเนาโดยเจ้าของโปรแกรมมีลิขสิทธิ์ ทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่กฎหมายเขาจำกัดจ านวนสำเนาว่า ให้มีจำนวนตามสมควรเพื่อวัตถุประสงค์ในการบา รุงรักษาหรือป้องกันการสูญหาย คือทำสำเนาได้เฉพาะ backup ถ้าจะมา copy แจกเพื่อน ๆ ทัั้ง office ก็ถือว่ามีความผิดในเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ


คำแนะนำเพื่อป้องกันการกระทำความผิด
  ไฟล์วอลส่วนตัว (Personal Firewall) ไฟล์วอลล์ส่วนตัวคือซอฟแวร์ที่ติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวซึ่งท าหน้าที่ป้องกันผู้บุกรุกหรือผู้ไม่ ประสงค์ดีเข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของเราหรือช่วยป้องกันโปรแกรมที่ไม่ประสงค์ดี เช่น ไวรัส โทรจัน สปายแวร์ ถูกติดตั้งลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวโดยที่เราไม่ทราบหรือไม่รู้ตัว ดังนั้นเราควรติดตั้งไฟล์วอลล์ ส่วนตัวโดยสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บ 
 การสวมรอยบุคคล (Identity Theft) ในปัจจุบัน การขโมยและการฉ้อฉลนั้น สามารถกระทำได้กับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในเครื่อง คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันเอกสารส าคัญที่ใช้ระบุตัวตนมากมายได้ถูกจัดเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์และ อาจเข้าถึงได้ โดยผู้บุกรุกโดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การขโมยเอกสารส าคัญนั้นอาจน าไปสู่การสวมรอยเป็นตัว บุคคลผู้เป็นเจ้าของเอกสารนั้น และอาจใช้ในการดำเนินเรื่องต่าง ๆ แทนเจ้าของโดยมิได้รับอนุญาตซึ่งเป็นการ กระทำที่ผิดกฎหมาย เช่นการขโมยบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่านเพื่อทำการลอ็กอินเข้าไปซื้อสินค้า ผลที่เกิดขึ้นต่อผู้ที่ถูกสวมรอย ได้แก่ เสียประวัติทางด้านการเงิน เสียชื่อเสียง และอื่นๆ คำแนะนำก็คือ ให้ระมัดระวังไม่เปิดเผยข้อมูล ส่วนตัวเกินความจำเป็น ระวังการให้ข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเครดิต เปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ
 อีเมล์หลอกลวง (Instant Scams) ปัจจุบันได้มีอีเมล์หลอกลวงให้ผู้รับอีเมล์หลงเชื่อซึ่งหลาย ๆ ครั้งทำให้เกิดความเสียต่อผู้รับอีเมล์ เช่น การ เสียเงิน เสียเวลา ปัจจุบันองค์กร Federal Trade Commission (FTC) ของสหรัฐอเมริกาได้ระบุอีเมล์ไว้ 12 ประเภท ที่ผู้ใช้ต้องให้ความระมัดระวัง 
               1. การสร้างโอกาสทางธุรกิจ อีเมล์นี้จะเสนอรายได้ก้อนใหญ่โดยไม่ต้องทำอะไรมาก
               2. อีเมล์การขายสินค้าที่มีกลุ่มผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก (Bulk E-mail) อีเมล์นี้จะเสนอรายชื่อกลุ่ม ผู้ใช้งานอีเมล์ซึ่งมีจำนวนมากและชักชวนว่าสามารถโฆษณาหรือขายสินค้าไปยังกลุ่มผู้ใช้งานอีเมล์นี้ได้ 
               3. อีเมล์ลูกโซ่ชักชวนให้ผู้รับส่งเงินจำนวนเล็กน้อยไปยังผู้ส่งและส่งอีเมล์นี้ไปยังผู้อื่นต่อไป 
               4. การทำงานที่บ้านโดยลงแรงเล็กน้อย อีเมล์นี้จะเสนอรายได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม แรกเข้าและทำตามที่อีเมล์ขอให้ทำ แต่ผู้รับไม่มีทางได้รับค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสินกลับคืน                5. การรักษาสุขภาพและการควบคุมน้ำหนัก อีเมล์นี้จะเสนอยาประเภทต่างๆ ถ้าหลงเชื่อคำโฆษณาซื้อ ผลิตภัณฑ์มาใช้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
               6. รายได้ก้อนโตโดยไม่ต้องเสียแรงมากนัก อีเมล์นี้จะเสนอวิธีร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว 
               7. สินค้าฟรี อีเมล์นี้จะเสนอให้สินค้าฟรีโดยชำระเงินเพียงเล็กน้อย เช่น เพื่อเข้าเป็นสมาชิก                8. โอกาสการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูง อีเมล์นี้จะเสนอผลตอบแทนที่สูงกับการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง เงินที่ลงทุนไปก็จะสูญไปโดยเปล่าประโยชน์
               9. ชุดอุปกรณ์เชื่อมต่อเคเบิลทีวี อีเมล์นี้จะขายชุดอุปกรณ์ส าหรับเชื่อมต่อเข้ากับเคเบิลได้โดยไม่ต้องเสีย ค่าสมาชิก ถึงแม้ว่าจะทำได้จริงแต่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
               10. การให้เงินกู้หรือสินเชื่อโดยมีเงื่อนไขง่าย ๆ ซึ่งสถาบันการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายจะไม่ใช้วิธีการส่ง อีเมล์แบบนี้ 
               11. การเคลียร์สินเชื่อ อีเมล์นี้จะเสนอช่วยเคลียร์ข้อมูลสินเชื่อที่ติดลบในบัญชีธนาคาร การท าตามที่เสนอ ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย 
               12. การเสนอให้รางวัลไปเที่ยวฟรี อีเมล์จะเสนอว่าท่านเป็นผู้ที่ได้รับรางวัลไปเที่ยวฟรี ภายหลังก็จะพบว่า ข้อเสนอนั้นไม่เป็นอย่างที่คิด หรือไม่ก็ต้องชะระเงินเพิ่มเติม ค าแนะน า คือ ให้ระมัดระวังโฆษณาชวนเชื่อในลักษณะดังกล่าว และ หมั่นติดตามประเภทของอีเมล์ หลอกลวงในแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

จริยธรรมกับเทคโนโลยีสารสนเทศ 
       เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นจริยธรรมที่เกี่ยวกับระบบ สารสนเทศที่จ าเป็นต้องพิจารณารวมทั้งเรื่องความปลอดภัยของระบบสารสนเทศการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหาก ไม่มีกรอบจริยธรรมกำกับไว้แล้ว สังคมย่อมจะเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาไม่สิ้นสุด รวมทั้งปัญหาอาชญากรรม คอมพิวเตอร์ด้วย ดังนั้นหน่วยงานที่ใช้ระบบสารสนเทศจึงจำเป็นต้องสร้างระบบความปลอดภัยเพื่อป้องกันปัญหา ดังกล่าว 
                       กรอบความคิดเรื่องจริยธรรม 
     หลักปรัชญาเกี่ยวกับจริยธรรม มีดังนี้(Laudon & Laudon, 1999) R.O. Mason และคณะ ได้ จ าแนกประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศเป็น 4 ประเภทคือ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ความเป็นเจ้าของ (Property) และความสามารถในการเข้าถึงได้ (Accessibility) (O'Brien, 1999: 675; Turban, et al., 2001: 512)
     1) ประเด็นความเป็นส่วนตัว (Information Privacy) คือ การเก็บรวบรวม การเก็บรักษา และการ เผยแพร่ ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับปัจเจกบุคคล หรือองค์กร ซึ่งเจ้าของข้อมูลหรือสารสนเทศนั้นๆ มีสิทธิที่จะไม่ เผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ 
     2) ประเด็นความถูกต้อง (Information Accuracy) ข้อมูลหรือสารสนเทศที่ดีต้องสามารถตรวจสอบถึง แหล่งที่มาได้ รวมถึงมีการตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จะท าการเผยแพร่ข้อมูลนั้นๆ 
     3) ประเด็นของความเป็นเจ้าของ (Intellectual Property) คือ กรรมสิทธิ์และมูลค่าของข้อมูล สารสนเทศ (ทรัพย์สินทางปัญญา)
     4) ประเด็นของการเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility) คือ เนื่องจากการเข้าถึงข้อมูลท าได้อย่างง่าย ทำให้ เกิดการกำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล และสามารถตรวจสอบได้ว่าใคร เป็นผู้บันทึก แก้ไขข้อมูลนั้นๆ
                      การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว (Privacy) 
 ความเป็นส่วนตัวของบุคคลต้องได้ดุลกับความต้องการของสังคม 
 สิทธิของสาธารณชนอยู่เหนือสิทธิความเป็นส่วนตัวของปัจเจกชน
                     การคุ้มครองทางทรัพย์สินทางปัญญา 
       ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยปัจเจกชน หรือนิติบุคคล ซึ่งอยู่ภายใต้ ความคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์กฎหมายความลับทางการค้า และกฎหมายสิทธิบัตร              ลิขสิทธิ์ (copyright) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หมายถึง สิทธิ์แต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ซึ่งเป็นสิทธิ์ในการป้องกันการคัดลอกหรือทำซ้ำในงานเขียน งานศิลป์ หรืองาน ด้านศิลปะอื่น ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวลิขสิทธิ์ทั่วไปมีอายุห้าสิบปีนับแต่งานได้สร้างสรรค์ขึ้น หรือนับแต่ได้มี การโฆษณาเป็นครั้งแรกในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีอายุเพียง 28 ปี 
      สิทธิบัตร (Patent) ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 หมายถึง หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อ คุ้มครองการประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุยี่สิบ ปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตร ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะคุ้มครองเพียง 17 ปี 

ประโยชน์ของการมีจริยธรรม 
1. ประโยชน์ต่อตนเอง ภาคภูมิใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นคนดี
2. ประโยชน์ต่อสังคม สบสุข ปรองดอง สามัคคี 
3. ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ความเจริญรุ่งเรือง สามัคคี ความพัฒนา
4. ประโยชน์ต่อองค์กรธุรกิจ ยกระดับมาตรฐานขององค์กร     
5. ประโยชน์ต่อการดำรงรักษาไว้ซึ่งจริยธรรม เผยแพร่ รักษาจริยธรรมไปสู่รุ่นต่อไป
จริยธรรมของนักคอมพิวเตอร์ 
1. มีความรับผิดชอบต่อการขายสินค้าและบริการ 
2. ทำงานด้วยความศรัทธา และจริงใจ 
3. รักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภค 
4. นำเสนอคุณภาพสินค้าตามความจริง
5. ไม่เผยแพร่สิ่งที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคม 
6. ทำตามกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบของสังคม 
7. ทำประโยชน์ต่อสังคม

บทที่9 ไอซีทีอย่างรู้เท่าทัน

ภัยที่มากับอินเทอร์เน็ต 
   
1. ภัยที่มีผลทางด้านข้อมูลหรือระบบคอมพิวเตอร์ ก่อนที่เราจะรู้จักวิธีป้องกัน เราควรทำความเข้าใจ ภัย หรือคนร้ายก่อน ดังปรัชญาจีนที่ว่า “รู้เขา รู้เรา รบ ร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”
                            วายร้ายโจรกรรมข้อมูล
      ข้อมูลของเรามีอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ตหรือไม่ เคยไหมที่ค้นหาชื่อ-นามสกุลของเราใน Google หรือใน Facebook ของเรา ข้อมูลรายละเอียดของตัวเราเองมีมากน้อยแค่ไหน ในโทรศัพท์มือถือ/คอมพิวเตอร์ เรากำหนด รหัสผ่านก่อนใช้งานหรือไม่ USB drive ของเรามีการเข้ารหัสไว้ไหม หรือว่าใคร ๆ ก็เปิดดูได้
        ฉนั้นข้อมูลต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตนั้นล้วนมีความสำคัญ และเป็นที่หมายปองของเหล่ามิจฉาชีพ หากเรารู้วิธีการหรือช่องทางของมิจฉาชีพในการโจรกรรมข้อมูลของเรา เราก็สามารถหาวิธีการป้องกันได้ไม่มากก็ น้อย
 การสอดแนม (Snooping หรือ Sniffing) การสอดแนม สนูปปิง (Snooping) หรือ สนิฟฟิ่ง (Sniffing) หมายถึงการดักจับหรือแอบดูข้อมูล โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล ตัวอย่างเช่น การดักอ่านข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย การแท็ปสายข้อมูล (Wiretapping) การใช้แพ็คเก็ตสนิฟเฟอร์ (Package Sniffer) วิธีการป้องกันการสอดแนม คือการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) ท าให้พวกมิจฉาชีพไม่เข้าใจข้อมูลของเราขณะสอดแนมได
 ฟิชชิง (Phissing หรือ Fishing) ฟิชชิง เป็นการปลอมอีเมลหรือเว็บไซต์เพื่อหลอกลวง โดยจุดประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อต้องการข้อมูล ส าคัญจากผู้ถูกหลอก เช่น Username, Password, Credit Card Number และอื่น ๆ โดยส่วนมากจะแสร้งว่า เป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ โดยวิธีการส่งข้อมูลข่าวสารไปให้เหยื่อ มีข้อความล่อลวงให้เข้าไปกรอกข้อมูลในหน้าเว็บที่มี หน้าตาเหมือนกับเว็บไซต์ของจริงทุกประการ โดยอาจมีชื่อโดเมนคล้ายกับเว็บนั้นโดยมีตัวหนังสือต่างจากชื่อเว็บ จริงแค่บางตัว เหยื่อที่เลินเล่อดูไม่ดีอาจจะไม่รู้ เช่น www.kasikornbank.com เป็น www..kasikonbank.com
 สปายแวร์ (Spyware) เป็นซอฟต์แวร์ที่ฝังตัวอยู่ในเครื่องโดยทำพฤติกรรมไม่พึงประสงค์บางอย่าง อาทิเช่นพยายาม โฆษณาสินค้า รวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ หรือเปลี่ยนแปลงตัวแปรที่อยู่ในคอมพิวเตอร์โดยที่เราไม่ได้อนุญาติ รวมถึงส่งข้อมูลส่วนตัวหลาย ๆ อย่างได้แก่ ชื่อ - นามสกุล , ที่อยู่ , E-Mail Address และอื่น ๆ ซึ่งอาจจะรวมถึง สิ่งส าคัญต่าง ๆ เช่น รหัสผ่าน หรือ หมายเลข บัตรเครดิตของเราไปที่เครื่องปลายทางของพวกมิจฉาชีพ ดังนั้น ข้อมูลต่าง ๆ ในเครื่องก็อาจไม่เป็นความลับอีกต่อไป Spyware อาจแค่ต้องการเข้ามาเพื่อโฆษณาสินค้าต่าง ๆ สร้างความรำคาญเพราะจะเปิดหน้าต่างโฆษณาบ่อย ๆ แต่บางตัวร้ายกว่านั้น คือ ทำให้เราใช้อินเทอร์เน็ตไม่ได้เลย

2. ภัยที่มีผลทางด้านสังคม นอกจากภัยที่มีผลทำให้ข้อมูลหรือระบบคอมพิวเตอร์เสียหาย หรือสูญเสียข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ไปแล้วนั้น การใช้อินเทอร์เน็ต อาจก่อให้ประสบภัยทางด้านสังคมอีกด้วย ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังและเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เราจึง จำเป็นต้องรับรู้ภัยทางด้านนี้เพื่อป้องกันตนเองจากกระแสเทคโนโลยีในทุกวันนี้
                ภัยจากการแชท
        การแชท หมายถึง การพูดคุยกันทางอินเทอร์เน็ต เป็นภัยด้านสังคมจากอินเทอร์เน็ตที่พบง่ายและบ่อย ที่สุด เนื่องจากเราไม่มีทางรู้เลยว่าเราอาจก าลังสนทนาอยู่กับคนที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากเราในทางไม่ ชอบอยู่ก็ได้ ถ้าเราเผลอให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือนัดเจอคนที่รู้จักกันทางเน็ต เราอาจตก เป็นเหยื่อของคนเหล่านี้ได้ คนเหล่านี้เล่นแชท เพราะเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน มีปมด้อย อยากหาแฟน เพ้อฝันว่า อาจจะได้เจอสิ่งดีๆ ในอินเทอร์เน็ต อาจเป็นโรคจิต ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากคนที่ไม่รู้ หรือเล่นไปงั้น ๆ
              ภัยจากการเล่นเกมออนไลน์
 บางครั้งการเล่นเกมเป็นเหมือนกับการเสพยาเสพติด เพราะเมื่อเล่นเกมแล้วทำให้ไม่อยากหยุดเล่น อยาก ท าคะแนนให้ได้เยอะ ๆ ได้ level ที่สูงขึ้น อยากอวด อยากเอาชนะคนอื่น ปัจจุบันเกมออนไลน์มีมาก บางเกมส่อ ไปในทางลามกอนาจาร อาจนำเสนอภาพที่รุนแรง บางเกมมีการขายของที่อยู่ในเกม หลายคนเคยตกเป็นเหยื่อ เพราะโดนหลอกซื้อของที่อยู่ในเกมก็มี นักเรียนต้องรู้จักข่มใจตนเอง เลือกเล่นเฉพาะเกมที่สร้างสรรค์ กำหนดเวลา เล่นให้เป็น ไม่ใช่เล่นเอาเป็นเอาตาย สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบั่นทอนทำให้เสียสุขภาพกาย สุขภาพจิต รวมถึงเสียการเรียน ด้วย

3. ภัยที่มีผลต่อสุขภาพ อินเทอร์เน็ต, Facebook, Twitter, Instagram, Youtube, เกมออนไลน์, เว็บไซต์ต่าง ๆ ได้เข้ามาเป็น ส่วนหนึ่งในชีวิตของคนยุคนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะใช้ส าหรับการท างาน ส าหรับติดต่อสื่อสาร หรือเพื่อความบันเทิง ทุก วันนี้เราอาจใช้เวลาไปกับชีวิตออนไลน์นานแค่ไหนในหนึ่งวัน ยิ่งใช้เวลามากมันก็จะส่งผลต่อสุขภาพของเรามาก ภัยที่มีผลต่อสุขภาพกาย
      ดวงตา การจ้องจอคอมพิวเตอร์หรือจอโทรศัพทือถือเป็นเวลานานมีผลต่อกล้ามเนื้อและระบบประสาท ตา ท าให้เกิดอาการเมื่อยตา สายตาเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อและปวดศีรษะ คลื่นไส้ โดยอาการที่พบบ่อยที่สุดของโรค นี้คือ ปวดตา เมื่อยตา ตาแห้ง บางรายอาจเป็นมากถึงสายตาเสื่อมลง เนื่องจากขณะใช้คอมพิวเตอร์ดวงตาต้อง จ้องมองหน้าจอที่มีตัวหนังสือหรือภาพกระพริบตลอดเวลา ทำให้กลไกตามธรรมชาติของการกระพริบตาลดน้อยลง จนเราไม่สังเกต เป็นเหตุผลส าคัญที่ทำให้ตาแห้ง และหากดวงตาอยู่ในสภาพที่เหน็ดเหนื่อยหรือตาแห้ง ก็จะทำให้ สายตาเสื่อมลง ทาง American Optometric Association (AOA) ให้คำจำกัดความของโรคหรือภัยที่เกิดจาก การใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะผลที่เกิดกับดวงตาและการมองเห็นว่า คือโรค Computer Vision Syndrome หรือ CVS โดยมีอาการคือ ปวดเบ้าตา, ปวดต้นคอ, มีอาการอ่อนล้าทางประสาทตา, มีภาวะตาแห้ง, รอยตาคล้ำบริเวณตา หรือมีรอยบวมเห็นเป็นถุงใต้ตาโปนออกมา สาเหตุหลักนอกจากการใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ แล้ว ยังสามารถเกิดได้จากการได้รับรังสีอัลตร้าไวโอเลตทั้งจากรังสี UV ที่ออกมาจาก จอคอมพิวเตอร์ หรือจากแสงแดดก็ได้
     ระบบประสาท คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของคอมพิวเตอร์อาจมีผลต่อระบบประสาท แม้ว่ารังสีชนิดต่าง ๆ จากหน้า จอคอมพิวเตอร์จะมีความปลอดภัย แต่การรับรังสีเป็นเวลานานก็อาจจะส่งผลกระทบถึงระบบประสาทของมนุษย์ ได้เช่นกัน เช่น อาจเกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อึดอัด และนอนไม่หลับ เป็นต้น

แนวทางการป้องกัน 
        จากภัยที่มากับอินเทอร์เน็ตในด้านต่าง ๆ ที่เราได้กล่าวมาแล้วนั้น ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ควรมีความรู้และ ปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันในการรักษาคอมพิวเตอร์ ข้อมูลส่วนตัว ประวัติการท่องอินเทอร์เน็ต เลขบัตร เครดิตและข้อมูลอื่น ๆ ให้ปลอดภัย ผู้ใช้งานควรระมัดระวังเมื่อต้องติดตั้งโปรแกรมหรือเมื่อจะคบกับเพื่อนใหม่ที่ รู้จักทางอินเทอร์เน็ตว่ามีความปลอดภัย นอกจากการดูแลรักษาความปลอดภัยนั้นจะต้องมีทั้งโปรแกรมป้องกันภัย ที่ดี ผู้ใช้ยังควรมีลักษณะพฤติกรรมการใช้งานที่ดีด้วย เช่น ควรที่จะต้องรู้ว่าสิ่งใดไม่ควรให้ผู้อื่นเข้าถึงได้ในขณะที่มี การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ใครที่ควรไว้วางใจ และเข้าใจเรื่องการรักษาความปลอดภัยอื่น ๆ ที่เทคโนโลยีไม่สามารถ ตอบโจทย์ได้ ซึ่งผู้ใช้งานควรจะต้องมองหาวิธีรักษาความปลอดภัยที่เหมาะกับการใช้งานของตัวผู้ใช้เองมากที่สุด

บทที่8 ชีวิตง่ายๆในโลกดิจิทัล

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
     จากการที่การใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารที่กว้างไกล ท าให้ผู้คนในพื้นที่ต่าง ๆ สามารถใช้งานระบบอินเทอร์เน็ตได้อย่าง กว้างขวางไร้พรมแดน ในขณะเดียวกันนั้นก็มีผู้ที่นำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมาสร้างโอกาสทางธุรกิจ ท าให้เกิด พัฒนาการในเทคโนโลยีที่ใช้ประกอบการทำธุรกิจ เติบโตขึ้นจนกลายเป็นการค้าผ่านทางช่องทางอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce : E-Commerce) ส าหรับในปัจจุบันจะเห็นได้ ว่ามีผู้สนใจท าการค้าผ่านช่องทางนี้เป็นจ านวนมาก ทั้งที่เป็นนิติบุคคล บริษัท ห้างร้าน และบุคคลธรรมดา โดย ที่รูปแบบที่พบเห็นได้บ่อย ได้แก่ การเปิดเว็บไซต์ของตนเอง ตัวอย่างเช่น บริษัท เพาเวอร์บาย จ ากัด ซึ่งเป็น บริษัทที่จ าหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าในเครือเซ็นทรัล มีการจ าหน่ายสินค้าผ่านเว็บไซต์ (www.powerbuy.co.th)
ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
     การพิจารณาประเภทของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถพิจารณาได้จากหลายหลักการ ซึ่งใน บทเรียนนี้จะใช้หลักการของคู่ค้า จากหลักการของคู่ค้าเมื่อพิจารณาความเกี่ยวข้องกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วจะแบ่งกลุ่มบุคคลที่มี ความเกี่ยวข้องออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่
 - กลุ่มธุรกิจ (Business) 
 - กลุ่มรัฐบาล (Government)
 - กลุ่มประชาชน (Citizen) ผู้บริโภค (Consumer) หรือ ลูกค้า (Customer)
                  ในการพิจารณาความสัมพันธ์นั้นจะมองจากกลุ่มด้านหน้าไปด้านหลัง เช่น Business to Consumer จะ มองได้ว่า ผู้จ าหน่ายก็คือกลุ่มธุรกิจ และ ผู้ซื้อก็คือกลุ่มของผู้บริโภค และในการเขียนความสัมพันธ์นั้นจะเขียนให้ สั้นขึ้น โดยใช้เลข “2” แทนคำว่า to และใช้ตัวอักษรตัวแรกของแต่ละกลุ่มแทน ดังนั้น จากความสัมพันธ์ Business to Consumer จะเขียนแทนได้ว่า B2C จากความสัมพันธ์ทั้งหมดที่ได้กล่าวไว้นั้น จะเห็นได้ว่ามีทั้งหมด 9 ลักษณะ แต่ในที่นี้จะได้กล่าวเฉพาะ ความสัมพันธ์หลัก ๆ ที่พบได้โดยทั่วไปซึ่งมี 5 ลักษณะดังนี้
 1. Business to Consumer หรือ Business to Customer (B2C) เป็นลักษณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการ ขายสินค้าแก่ลูกค้าห รือผู้บ ริโภค ซึ่งจะเป็นป ระเภทที่พบได้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ Zalora (http://www.zalora.co.th) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่จ าหน่ายสินค้าเครื่องประดับเครื่องแต่งกายให้กับลูกค้าทั่วไป 
2. Business to Business (B2B) เป็นลักษณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการขายสินค้ากับกลุ่มธุรกิจด้วยกัน ซึ่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะขององค์การขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายวัตถุดิบระหว่างกัน เช่น ธุรกิจซีพีออลล์ ธุรกิจ Microsoft ธุรกิจCisco เป็นต้น
3. Business to Government (B2G) เป็นลักษณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการกับกลุ่มรัฐบาล เช่น การ ให้บริการจัดซื้อจัดจ้างแก่หน่วยงานรัฐบาล ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกแทนหน่วยงานภาครัฐที่จะต้องเป็นผู้การ ดำเนินเองทั้งหมด ก็ให้กลุ่มธุรกิจเอกชนดำเนินการลงทุนเทคโนโลยีต่าง ๆ แทนให้ ตัวอย่างเช่น บริษัท กสท โทรคมนาคม จ ากัด (มหาชน) เป็นผู้ให้บริการในการซื้อจัดจ้างในลักษณะการประมูลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auction) ให้หน่วยงานภาครัฐ 
4. Government to Citizen (G2C) เป็นลักษณะที่กลุ่มรัฐบาลให้บริการ (ฟรี) กับกลุ่มประชาชน ผ่าน ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์การรับสมัครบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา หรือ Admission (http://www.cuas.or.th/) ซึ่งภาครัฐให้บริการแก่นักเรียนที่ศึกษาส าเร็จในระดับมัธยมศึกษา หรือ ระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ได้สมัครเพื่อเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในระบบกลาง 
5. Consumer to Consumer (C2C) เป็นลักษณะที่กลุ่มผู้บริโภคขายสินค้าให้กับกลุ่มผู้บริโภคด้วย กันเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นการค้าปลีก สินค้าทำเอง หรือสินค้ามือสอง และมักจะอาศัยเว็บไซต์ตลาดกลางใน การขายสินค้า เช่น การซื้อขายสินค้าด้วยกันเองของผู้บริโภคโดยผ่านบริการของเว็บไซต์ Pantip Market (http://www.pantipmarket.com) 

กระบวนการซื้อสินค้าด้วยรูปแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
สำหรับการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้า และการขายสินค้ารูปแบบของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นก็ สามารถเทียบเคียงได้กับการซื้อขายสินค้าในรูปแบบปกติ แต่ในบางขั้นตอน การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จะสามารถ เพิ่มเติมความสะดวกสบายในการใช้บริการของลูกค้าได้ ในที่นี้จะได้อธิบายจำแนกเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ 
        ขั้นที่ 1 การค้นหา เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าจะค้นหาร้านที่จำหน่ายสินค้า ซึ่งจะเป็นการค้นหาเว็บไซต์และระบุ เว็บไซด์ที่ตรงกับความต้องการในการเลือกซื้อของลูกค้า 
       ขั้นที่ 2 การเลือก เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าได้เห็นคุณสมบัติของสินค้าในด้านต่าง ๆ เช่น ภาพสินค้า รายละเอียดสินค้า คุณภาพสินค้า และราคาสินค้า เป็นต้น โดยที่บางเว็บไซต์อาจมีฟังก์ชันในการเปรียบเทียบสินค้า ในด้านต่าง ๆ หรือบริการในการติดต่อพนักงานในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพิ่มเติมผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่ง สามารถเทียบได้กับการซื้อสินค้าที่ร้านค้าตามปกติ และนอกจากนั้นยังรวมถึงบริการของผู้จ าหน่าย ซึ่งลูกค้าจะเป็น ผู้เลือกและตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าใด จากเว็บไซต์ไหน 
       ขั้นที่ 3 การซื้อสินค้าและบริการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นขั้นตอนการซื้อสินค้าและบริการผ่านทางรูปแบบ อิเล็กทรอนิกส์ โดยที่หลังจากลูกค้าเลือกสินค้าแล้ว ก็จะระบุวิธีการจัดส่งและการชำระเงิน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในข้อมูลลูกค้า ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ส าหรับรูปแบบของการช าระ เงินจะได้อธิบายเพิ่มเติมต่อไป 
      ขั้นที่ 4 การจัดส่งสินค้า หลังจากที่ลูกค้าได้ซื้อสินค้า ผู้จำหน่ายจะดำเนินการจัดส่งสินค้าซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับลักษณะของสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าซื้อ โดยถ้าเป็นสินค้าในกลุ่มที่จับต้องไม่ได้ เช่น ซอฟต์แวร์ เพลง การจอง ตั๋วต่าง ๆ บริการธนาคารออนไลน์ เป็นต้น ลูกค้าจะสามารถดาวน์โหลดนำไปใช้หรือตรวจสอบผลการให้บริการได้ แต่ถ้าเป็นสินค้าที่จับต้องได้ผู้จ าหน่ายก็จะดำเนินการจัดส่งตามวิธีการและสถานที่จัดส่งที่ลูกค้าได้แจ้งไว้ โดยการจัดส่งนั้นผู้จ าหน่ายอาจใช้บริการจากผู้ให้บริการในการจัดส่งซึ่งมีหลายบริษัท เช่น ไปรษณีย์ไทย DHL 
     ขั้นที่ 5 การบริการหลังการขาย เป็นขั้นตอนในการให้ความคุ้มครองและสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า โดยที่ลูกค้าสามารถติดต่อคืนสินค้า เปลี่ยนสินค้า ซ่อมแซมสินค้า หรือขอคำปรึกษาในเรื่องสินค้า บริการตาม ระยะเวลาข้อตกลง ซึ่งทั้งนี้ผู้จำหน่ายจะได้มีการเก็บข้อมูลในการซื้อสินค้าต่าง ๆ ของลูกค้าไว้เช่น ชื่อนามสกุล ที่ อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ประวัติการสั่งสินค้า เป็นต้น จะเป็นการเพิ่มความพอใจให้กับลูกค้า และจะเพิ่มความเป็นไปได้ ในการเข้ามาเยี่ยมชมหรือเป็นลูกค้ากับเราอีกครั้งก็ได้ 
     ขั้นที่ 6 การประเมินผลหลังการขาย นอกเหนือจากที่ผู้จำหน่ายอาจจัดให้มีช่องทางในการติดต่อสื่อสาร เช่น การแจ้งข่าวสารผ่านเว็บไซต์ เว็บบอร์ด หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์แล้วนั้น อาจจะมีการช่องทางในการ ประเมินผลหลังการขาย โดยอาจจะเป็นการจัดอันดับเรตติ้งของผู้จ าหน่าย ความชอบในสินค้า ซึ่งผู้ซื้อจะเป็นผู้ท า การประเมิน ซึ่งส่งผลดีต่อลูกค้ารายอื่น ๆ ที่มีความสนใจจะได้เข้ามาพิจารณาการประเมินผลของลูกค้าที่เคยใช้ บริการ และเป็นผลดีต่อร้านค้า

   การชำระเงินกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
 ในการซื้อสินค้าผ่านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(ขั้นตอนที่ 3 ของขั้นตอนการซื้อ) มีวิธีการในการรับชำระ เงินอยู่หลายหลายวิธีการด้วยกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้จำหน่ายสินค้าจะได้จัดให้มีช่องทางในการชำระเงินให้กับผู้ซื้อ วิธีการใดได้บ้าง สำหรับในบทเรียนนี้จะนำเสนอวิธีการชำระเงินที่เป็นที่นิยมของผู้จำหน่าย ดังนี้ 
          - กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Wallets) 
  เป็นแนวคิดในการสร้างข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ต ของลูกค้าแต่ละคนให้เสมือนเป็นกระเป๋าเงินตามปกติที่ใช้งานกัน ซึ่งภายในระบบกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์นั้นจะ ประกอบด้วยข้อมูล เช่น ข้อมูลตัวบุคคลเจ้าของระบบ ข้อมูลที่อยู่ ข้อมูลบัตรเครดิต เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic cash) เป็นต้น ซึ่งเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic cash) คือ จำนวนเงินที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการ ค านวณการเก็บ และการใช้การจ่ายผ่านทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถทำได้โดยลูกค้าจะเปิดบัญชีกับธนาคาร และกำหนดเอกลักษณ์ขึ้นมาเอง จากนั้นจะได้รับเงินสดอิเล็กทรอนิกส์มา เมื่อลูกค้าต้องการถอนเงินออกจาก ธนาคาร หรือซื้อสินค้าก็สามารถทำผ่านอินเทอร์เน็ต โดยจะแสดงสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อตรวจสอบ เมื่อธนาคาร ตรวจสอบเอกลักษณ์เรียบร้อยแล้วจะแสดงจำนวนเงินที่ลูกค้าต้องการออกมา และ ทำการลดจำนวนเงินจากบัญชี ของลูกค้าออกตามที่ลูกค้าต้องการ และสำหรับในการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้านั้น เว็บไซต์จะได้มีการจัดเตรียม หน้าการช าระเงินที่สามารถเชื่อมโยงกับ กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นก็จะสามารถระบุการช าระเงินว่าจะใช้ ข้อมูลบัตรเครดิต หรือเงินสดอิเล็กทรอนิกส์อีกทีหนึ่ง
           - เช็คอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Checks)
    มีพื้นฐานจากเช็คโดยปกติที่เป็นกระดาษ แต่ได้มีการ ปรับเปลี่ยนโดยนำเทคโนโลยีมาประกอบการทำงานให้มีความสะดวกขึ้น เช่น เทคโนโลยีลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signatures) นำมาใช้ตรวจสอบข้อมูลการช าระเงินของผู้ซื้อสินค้าแทนการลงชื่อกำกับบนเช็คแบบปกติ ซึ่งจะเป็นการรับรองผู้ชำระเงิน รับรองธนาคารของผู้ชำระเงิน และบัญชีธนาคาร
            - การชำระผ่านบริษัทไปรษณีย์ไทย
     บริษัทไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดส่งเงินหรือ เอกสารแทนเงิน จากผู้ซื้อไปยังผู้จำหน่าย ซึ่งมีบริการที่หลายลักษณะ เช่น บริการธนาณัติ บริการตั๋วแลกเงิน บริการไปรษณีย์เก็บเงิน รวมไปถึงบริการเพย์ แอท โพสท์ ซึ่งการใช้บริการทางการเงินของบริษัทไปรษณีย์ไทยใน ปัจจุบันก็มีความสะดวกเนื่องจากมีหน่วยให้บริการในพื้นที่ต่าง ๆค่อนข้างมาก 
            - การชำระเงินผ่านธนาคาร 
      การใช้บริการชำระค่าสินค้าผ่านทางธนาคารส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของการ โอนเงินซึ่งลูกค้าจะต้องทราบหมายเลขบัญชี หรือข้อมูลผู้จำหน่ายสินค้าก่อนจึงจะช าระเงินได้ ซึ่งวิธีการนี้มีความ สะดวกเนื่องจากในปัจจุบันมีบริการของธนาคารออนไลน์ หรือตู้ATM มากขึ้น แต่มีความเสี่ยงถ้าหากผู้ซื้อโอน เงินไปให้ก่อนแต่ผู้จำหน่ายยอมไม่ส่งสินค้ามาให้
             การชำระเงินผ่านบัตรชำระเงิน
       บัตรชำระเงินที่มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบันมี 3 ลักษณะ 
1. บัตรเครดิต (Credit Card) เป็นบัตรที่มีการให้วงเงินพิเศษกับผู้ถือบัตร ซึ่งใช้ในการซื้อสินค้า และเมื่อ ถึงกำหนดจ่ายเงิน จึงจ่ายเงิน ซึ่งสามารถจ่ายแบบเต็มจำนวนหรือบางส่วนก็ได้ตามแต่เงื่อนไขของบริษัทผู้ออกบัตร อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยของข้อมูลที่มีการถ่ายโอนทางอินเทอร์เน็ตยังเป็นที่วิตกสำหรับลูกค้า ผู้ให้บริการบัตร เครดิต ได้แก่ บริษัทวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดก็ได้ใช้วิธีการรักษาความปลอดภัย ที่เรียกว่า SET (Secure Electronic Transaction) ทำให้มีความมั่นใจในการใช้บริการได้มากยิ่งขึ้นฃ
 2. บัตรเดบิต (Debit Card) เป็นบัตรที่มีการเชื่อมโยงวงเงินเข้ากับบัญชีเงินฝาก ดังนั้นในการใช้บัตรใน การซื้อสินค้า จะต้องมีเงินคงเหลือในบัญชีและเมื่อซื้อสินค้าก็จะตัดวงเงินจากบัญชีโดยทันที
 3. บัตรชาจต์ (Charge Card) เป็นบัตรที่ใช้ซื้อสินค้าก่อนแล้วจ่ายภายหลัง คล้ายบัตรเครดิต แต่จะไม่มี การจ ากัดวงเงินในการใช้จ่าย และเมื่อถึงกำหนดชำระเงินจะต้องจ่ายเต็มจำนวน เช่น บัตร American Express เป็นต้น

ภัยคุกคามต่อพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
     การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน มักจะมีภัยคุกคามต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งในที่นี้ได้นำเสนอตัวอย่าง ภัยคุกคามสำหรับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ดังนี้ 
          - ความปลอดภัย (Security) การใช้งานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จะมีโอกาสสุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยของการใช้งาน เช่น การจารกรรม ข้อมูลบัตรเครดิต เป็นต้น
           - ทรัพย์สินทางปัญญา (Theft of intellectual property) การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การละเมิดลิขสิทธิ์เพลงออนไลน์ การขายสินค้าปลอม การปลอม แปลงเครื่องหมายการค้า เป็นต้น ซึ่งการซื้อขายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และสินค้าที่เป็นของปลอม แปลงนั้น อาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภคด้วยฃ
          - กลโกงทางอินเทอร์เน็ต (Fraud) มีหลายลักษณะ เช่น การฉ้อโกงทางโทรศัพท์ โดยการหลอกคืนภาษีและให้ท าธุรกรรมผ่านตู้ATM การส่งข่าวสารปลอมผ่านทางอีเมล์ (Phishing) โดยหลอกให้ผู้ใช้เข้าใจว่ามาจากองค์การที่น่าเชื่อถือ และสร้าง เว็บไซต์ปลอมที่เหมือนกับเว็บไซต์จริงแล้วหลอกให้ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลที่มีความสำคัญลงไป การ โกงของมือสองออนไลน์ เช่น การสร้างเว็บไซต์เพื่อขายสินค้า แต่ไม่มีสินค้าอยู่จริง ๆ และเมื่อลูกค้าจ่ายเงิน ก็ไม่มี สินค้าส่งให้ ซึ่งถ้าลูกค้าจะติดตามก็ทำได้ยาก เพราะข้อมูลที่ปรากฏทางเว็บไซต์อาจจะเป็นข้อมูลปลอม เป็นต้น
          - การคุกคามความเป็นส่วนตัว (Invasion of privacy) การคุมคามความเป็นส่วนตัว เช่น สแปมเมล์ (Spam Mail) เป็นประเภทหนึ่งของอีเมล์ขยะ (Junk Mails) โดยจุดประสงค์ของผู้ส่งสแปมเมล์ มักต้องการโฆษณาสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ไปหาคนจำนวนมาก โดยผู้ ส่งไม่จำเป็นต้องรู้จักเป้าหมายมาก่อน และการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค เช่น การดักฟังโทรศัพท์ หรือ การบันทึกพฤติกรรมการเข้าใช้งานเว็บไซต์ของลูกค้า เพื่อน าไปใช้ประโยชน์ทางการค้า เป็นต้น
          - ความไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต (Lack of internet access) เนื่องจากการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมาก ดังนั้นถ้าหาก พื้นที่ในการให้บริการของอินเทอร์เน็ตไม่ครอบคลุม ก็จะส่งผลต่อการท าธุรกิจ รวมถึงความคมชัด หรือความแรง ของสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ส่งผลต่อการทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
         - ขอบเขตอำนาจของกฎหมายและภาษี(Legal jurisdiction and taxation) การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ถึงแม้จะเป็นการท าการค้าไร้พรมแดน แต่ในบางประเทศนั้นจะมีการกำหนดข้อ กฎหมายควบคุม หรือห้ามจำหน่ายสินค้าบางอย่าง เช่น อาวุธ หรือยา เป็นต้น รวมไปถึงอาจมีการกำหนดอัตรา ภาษีต่าง ๆ ไว้เพื่อควบคุมการจำหน่ายสินค้า 

กลโกง การป้องกัน และวิธีการแก้ปัญหาจากการใช้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
     กลโกง การหลอกลวงของผู้จ าหน่าย ในการใช้งานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ลูกค้าอาจพบกับปัญหา ซึ่งอาจเป็นกลโกงของผู้จ าหน่ายสินค้าได้ หลายรูปแบบ ซึ่งในที่นี้จะได้ขอตัวอย่างเพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบ เช่น
       - การหลอกลวงให้เปิดเผยข้อมูลทางการเงินหรือบัตรเครดิต อาจพบได้ในกรณีที่ลูกค้าซื้อสินค้าจาก เว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือเว็บไซต์ที่ไม่มี วิธีการป้องกันใน ก รส่งข้อมูลทางการเงิน (อ้ างอิง : www.pawoot.com/online-fraud)
       - การเปิดร้านค้าปลอม โดยอาจเปิดเว็บไซต์เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ หลอกให้ลูกค้า โอนเงิน แต่ไม่ส่งสินค้าไป ให้ - การหลอกประกาศขายสินค้า ใช้ข้อความประกาศว่าเป็นสินค้าราคาถูก และบางครั้งอาจพบว่าร้านค้ามี การให้ที่อยู่ปลอมเพื่อความน่าเชื่อถือ และหลอกให้โอนเงินไปให้ โดยส่วนใหญ่มักพบในกลุ่มสินค้าราคาสูง เช่น กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์สมาร์ทโฟน เป็นต้น 
       - การส่งสินค้าปลอม สินค้าไม่ถูกลิขสิทธิ์ หรือสินค้าที่ไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ
       - การโฆษณาสินค้าที่หลอกลวงในสรรพคุณมากเกินจริง เช่น ยา วิตามิน อาหารเสริมต่าง ๆ (อ้างอิง : www.thaiall.com/article/10method.htm)
       - การหลอกลวงในการประมูลสินค้า เช่น ผู้จ าหน่ายไม่ส่งสินค้าให้ผู้ชนะการประมูลเพราะไม่มีสินค้าจริง , การปั่นราคาให้ราคาสูงเกินจริง เป็นต้น (อ้างอิง : www.nextproject.net/content/?00097) 

           การป้องกันเพื่อการซื้อสินค้า 
      จากตัวอย่างกลโกง การหลอกลวงต่าง ๆ นั้น ในฐานะของผู้ซื้ออาจมีวิธีการในการป้องกันได้โดยสามารถ พิจารณาได้ด้วยหลักการดังนี้ 
         1. ผู้ซื้อควรเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือ คือ มีรายละเอียดชื่อ ที่อยู่ของผู้จำหน่าย สินค้า หรือวิธีที่สามารถติดต่อได้ โดยอาจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์ Search engine เช่น Google หากไม่ มั่นใจผู้จ าหน่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงไปใช้บริการของร้านค้าที่เป็นที่รู้จัก
         2. อย่าเห็นแก่ราคาสินค้าที่ถูกเกินไป และพยายามเร่งรัดและระมัดระวังในการซื้อสินค้า รวมถึงต้องเก็บ หลักฐานการซื้อสินค้าเอาไว้เสมอ 
         3. ห้ามให้ข้อมูลส าคัญ เช่น หมายเลขบัตรประชาชน เป็นต้น และถ้าหากเป็นการชำระเงินด้วยบัตร เครดิตทางอินเทอร์เน็ต ผู้ซื้อต้องระวังการให้ข้อมูลบัตรเครดิต เช่น หมายเลขบัตร วัน เดือน ปีที่บัตรหมดอายุ หรือ ข้อมูลส่วนบุคคลแก่ผู้จำหน่ายสินค้าที่ไม่น่าไว้วางใจ หรือไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยขณะช าระเงิน และควร สอบถามหรือตรวจสอบสัญญาหรือเงื่อนไขบัตรชนิดต่าง ๆ กับธนาคารหรือบริษัทที่ออกบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือ บัตรที่สามารถช าระเงินทางอินเทอร์เน็ตได้ว่า ผู้ถือบัตรจะได้รับความคุ้มครองในกรณีใดบ้าง และมีข้อควรปฏิบัติ อะไรบ้าง 
        4. ถ้าหากเป็นผู้จำหน่ายสินค้ารายใหม่ หรือยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาด ก็ไม่ควรโอนเงินหากยังไม่ได้รับสินค้า หรือถ้าเป็นไปได้ควรนัดรับสินค้าและตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนการชำระเงิน 
        5. สังเกตการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้จำหน่ายสินค้า เพื่อสร้างความน่าไว้วางใจในเว็บไซต์ ที่ให้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้จำหน่ายสินค้าควรจะจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กับกรมพัฒนาธุรกิจ การค้า กระทรวงพาณิชย
        6. สังเกตการใช้โปรโตคอล SSL (Secure Sockets Layer) เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็น ส่วนตัว เว็บไซต์มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเช่นเว็บไซต์ของธนาคาร หรือ เว็บไซต์ขายสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือ มักจะมีการรักษาความปลอดภัยด้วยโปรโตคอล SSL ซึ่งสังเกตได้จาก การมีสัญลักษณ์รูปแม่กุญแจปิดล็อค และ นอกจากนั้นที่ URL จะเปลี่ยนจาก โปรโตคอล http:// เป็น https://
                        วิธีการแก้ปัญหาเมื่อพบว่าโดนโกง  
        ถ้าหากลูกค้าพบปัญหาว่าตนเองโดนโกงไปแล้วควรรวบรวมข้อมูลหลักฐาน เพื่อติดตามคนร้าย อาทิเช่น (อ้างอิง : www.pawoot.com/online-fraud)
 - หมายเลข IP address ของคนร้าย (ช่วงเวลาและสถานที่) 
- หมายเลขโทรศัพท์คนร้าย - E-Mail คนร้าย
 - บัตรประชาชนที่คนร้ายใช้อ้าง - วัน เวลา สถานที่ ลงประกาศ นัดเจอ โอนเงิน 
- เลขบัญชี การเดินทางของเงินในบัญชี ทั้งข้อมูลธนาคาร สาขา การโอนเงิน 
- การสังเกตน้ำเสียงและลักษณะของคนร้าย จากนั้นให้ดำเนินการแก้ปัญหาได้ ในช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
                      - เก็บรวมรวมหลักฐานต่าง ๆ แล้วไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจากนั้นติดต่อกองบังคับ การปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(http://www.tcsd.in.th) เพื่อ ประสานติดตามเรื่องต่อไป 
                      - ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานเพื่อคุ้มครองการซื้อ สินค้าจากตัวแทนขายตรง คุ้มครองตัวแทนขายตรงจากเจ้าของสินค้าและยังครอบคลุมถึงการค้าแบบ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย
                       - กรณีชำระค่าสินค้าโดยการโอนเงิน ให้รีบติดต่อธนาคารโดยอาจติดต่อขอระงับการโอนเงิน ซึ่ง ทางธนาคารจะทำการยกเลิกการโอนเงินให้โดยติดตามนำเงินจากบัญชีปลายทางที่โอนไปกลับมาคืน ซึ่ง วิธีการนี้โดยส่วนมากมักได้ผลถ้าหากรีบดำเนินการเมื่อพบความผิดปกติ 
                        - กรณีชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเครดิต ซึ่งหากพบรายการผิดปกติใด ๆ หรือเชื่อว่าตนอาจถูกหลอก หรือมีผู้ใช้บัตรเครดิตโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทหรือธนาคารที่ออกบัตรทราบ และทำหนังสือปฏิเสธการใช้บัตรเพื่อระงับรายการนั้นไว้ชั่วคราว 

จริยธรรมและมารยาทในการใช้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
      ในฐานะของผู้ใช้งานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้จริยธรรมและรักษามารยาทต่อการใช้ งาน สามารถสรุปได้ดังนี้ 
        - ด้านการสนทนา ทั้งผู้ซื้อและผู้จำหน่ายควรรักษามารยาทในการสนทนาโดยการเลือกใช้ภาษาที่สุภาพ ในการโต้ตอบและการเจรจา รวมถึงควรตรวจสอบการสะกดค าต่าง ๆ เนื่องจากในอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นพื้นที่ สาธารณะที่ใครก็สามารถเข้ามาอ่าน และอาจมีเด็กที่เข้ามาอ่านได้ด้วย ตลอดจนข้อมูลใด ๆ ที่น าเสนอบน อินเทอร์เน็ตอาจมีผลผูกพันทางกฎหมายได้
        - ด้านการเลือกซื้อสินค้า ในฐานะของผู้ซื้อสินค้าก็ควรเลือกซื้อสินค้าที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ รวมถึงถูกต้อง ตามกฎหมายของประเทศ
         - ด้านการชำระเงิน ผู้ซื้อสินค้าควรชำระเงินให้ตรงตามกำหนดวันเวลาที่ผู้จำหน่ายสินค้าได้แจ้งไว้ เพื่อ ไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องของการยกเลิกการขายโดยไม่ชำระเงิน แต่ถ้าหากไม่ต้องการซื้อสินค้าแล้วก็ควรแจ้งแก่ผูจ าหน่ายสินค้า เพื่อจะได้ไม่เป็นการกีดกันผู้ซื้อรายอื่นที่ต้องการได้รับสินค้าจริง ๆ และนอกจากนั้นแล้วจะต้อง ตรวจสอบการช าระเงินและเก็บเอกสารไว้เผื่อเกิดปัญหา
         - ด้านการให้ข้อมูล ผู้ซื้อควรให้ข้อมูลที่เป็นจริง ที่จ าเป็นแก่ผู้จำหน่ายสินค้าเพื่อเป็นการแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจการซื้อสินค้า เพราะบางครั้งผู้จำหน่ายสินค้าเองก็อาจโดนลูกค้าโกงได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้รวมถึงถ้าหาก ผู้จำหน่ายสินค้ามีบริการในส่วนของการสอบถามความพึงพอใจ ในฐานะลูกค้าก็ควรให้ข้อมูลที่เป็นจริงเพื่อที่จะได้ เป็นประโยชน์ต่อผู้จำหน่ายสินค้า และผู้ซื้อรายอื่น ๆ
         - ด้านความไว้วางใจ ผู้ซื้อเองต้องเลือกซื้อจากผู้จำหน่ายสินค้าที่น่าเชื่อถือ อย่าเห็นแก่ของราคาถูก อย่า เชื่อใจและไว้ใจมากเกินไป หากเกิดปัญหาขึ้นมาภายหลังอาจจะยุ่งยากในการติดตาม 
         - ข้อสุดท้ายผู้ซื้อควรจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจในวิวัฒนาการของเทคโนโลยี และกฎหมาย ที่ เกี่ยวข้องกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์อยู่เสมอ

 ข้อดี และข้อเสียของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
                  ข้อดีของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1. ประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทางไปซื้อสินค้า เพียงแค่เลือกซื้อผ่านเว็บไซต์เท่านั้น 
2. ประหยัดเวลาในการติดต่อ แค่ใช้เวลาไม่นานแค่เพียงไม่กี่วินาทีเราก็สามารถติดต่อซื้อสินค้าได้
3. การเปิดร้านค้าในอินเตอร์เน็ตเป็นการขยายตลาดสู่ทั่วโลก ไม่จำกัดเฉพาะแค่ในประเทศ และยังทำให้ ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการได้เลือกซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น 
4. ผู้จ าหน่ายสินค้าสามารถเปิดร้านได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด และผู้บริโภคก็สามารถซื้อสินค้า ได้ทุกวัน 
                  ข้อเสียของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
1. ผู้ซื้ออาจซื้อแล้ว แต่ไม่ได้รับสินค้าจริง หรือได้รับสินค้าที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือสินค้าชำรุดเสียหาย หรือสูญหาย 
2. สินค้าอาจเป็นสินค้าที่ไม่ผ่านการทดสอบ หรือสินค้าไม่มีคุณภาพ 
3. เสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง หรือถูกโกงราคาหรือถูกหลอกลวงได้ง่าย 
4. ข้อมูลสินค้าบางอย่างอาจมีการโอ้อวดคุณภาพสินค้าเกินจริง โดยที่เราไม่สามารถตรวจสอบได้ 
5. ในระบบกฎหมายของไทย ยังไม่มีการให้ความคุ้มครองอย่างทั่วถึงเพียงพอ ความปลอดภัยในข้อมูลทาง อินเตอร์เน็ตจึงยังไม่ปลอดภัยพอ

บทที่7 สังคมโลกเสมือน

ความหมายของซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์
 ซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์ คือ ซอฟต์แวร์ที่ทำให้ผู้คนสามารถนัดพบปะเชื่อมสัมพันธ์แลกเปลี่ยน ความรู้และความคิดเห็นในเรื่องที่สนใจอย่างสร้างสรรค์หรือทำงานร่วมกัน โดยมีคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลาง เกิด เป็นสังคมหรือชุมชนออนไลน์ ในการศึกษาซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น ต้องทำความเข้าใจกับคำว่าซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคม ออนไลน์สามารถจำแนกการแบ่งประเภทต่าง ๆ ของซอฟต์แวร์ออกเป็น 4 ประเภท ดังรูปที่ 9-1 ได้แก่ 1. ประเภทการบริหารจัดการความรู้ (Knowledge Management) 2. ประเภทเครื่องมือการติดต่อสื่อสาร (Communication Tools) 3. ประเภทเครื่องมือเพื่อร่วมประสานงานแบบทันทีทันใด (Collaborative real-time editors) 4. ประเภทบริการสังคมเครือข่าย (Social Network Services)
                                         ประเภทของซอฟต์แวร์เครือข่ำยสังคมออนไลน์
1. ประเภทกำรบริหำรจัดการรความรู้ (Knowledge Management) เครื่องมือประเภทจัดการความรู้ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของเว็บแอพลิเคชัน หรือเครื่องมือที่ทำงานผ่าน เว็บบราวเซอร์ ลักษณะของการใช้งานจะเป็นลักษณะการเก็บเรื่องราว การบันทึก การถามคำถาม การตอบคำถาม การแสดงความเห็นหรือมุมมองต่าง ๆ ทั้งในเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องทั่ว ๆ ไป สำหรับซอฟต์แวร์ในประเภทนี้สามารถ แบ่งได้ดังนี้
         Internet Forums
    เป็นรูปแบบของกลุ่มบุคคลที่มีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยใช้พื้นที่ของเว็บบอร์ดในการแลกเปลี่ยน ความรู้ แสดงความคิดเห็น เป็นต้น การรวมกลุ่มนี้ อาจจะเป็นลักษณะเปิดให้บุคคลอื่น ๆ เข้ามาอ่านหรือมาสมัคร เป็นสมาชิกได้ หรือบางเว็บบอร์ดอาจจะเป็นลักษณะปิด ที่เฉพาะสมาชิกจึงจะเข้าใช้งานได้ การเผยแพร่ที่หน้าเว็บ ของเว็บบอร์ดจะเป็นหัวข้อใหม่หรือกระทู้ที่เพิ่มใหม่ สมาชิกใหม่ หรือความคิดเห็นที่ถูกเพิ่มมาใหม่ เป็นต้น
         Blog
    Blog มาจากศัพท์ค าว่า WeBlog ซึ่งถูกอ่านได้ว่า We Blog หรือ Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่ง บอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือ บล็อก (Blog) ความหมายของคำว่าบล็อก ก็คือ การบันทึกบทความของ ตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์โดยเนื้อหาของบล็อกนั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว ส่วนตัว โดยมีลักษณะคล้ายกับการเขียนไดอารี (diary) ในแบบออนไลน์สามารถที่จะบันทึกเรื่องราว หรือมุมมอง ต่าง ๆ ของตัวเองลงในไดอารีหรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ สามารถอนุญาตว่าเรื่องใดเปิดเป็นสาธารณะ ทุกคนอ่านได้ เรื่องใดจะเก็บไว้อ่านส่วนตัว โดยจุดเด่นที่ทำ ให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเองใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อก บางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่าน กันในกลุ่มเฉพาะ เช่น กลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง และเครื่องมือประเภทบล็อกมีการเผยแพร่ที่แตกต่างกับ เว็บบอร์ด กล่าวคือจะมีการเผยแพร่บทความในบล็อกโดยจัดเรียงตามปี/เดือน/วัน จัดเรียงตามกลุ่ม จัดเรียง ตามล าดับความนิยม เป็นต้น
         Wiki
     วิกิเป็นเครื่องมือที่พัฒนาในด้านของการจัดการความรู้มากที่สุด มากกว่าทั้ง 2 ประเภทที่กล่าวมาข้างต้น เครื่องมือวิกิเป็นเครื่องมือที่เปิดกว้างให้ทุกคนสามารถที่จะบันทึกความรู้ ต่อยอดความคิดของบุคคลอื่น ๆ เป็น เครื่องมือที่ทำให้เราได้ตระหนักว่า ความรู้นั้นไม่มีที่สิ้นสุด ความรู้ใหม่ในวันนี้ อาจจะเป็นเรื่องที่เก่าในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเครื่องมือวิกิจะช่วยให้เราสามารถที่จะต่อยอดความรู้จากคนอื่น ๆ โดยสามารถที่จะไปแก้ไข ปรับปรุง เรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยมีผู้เขียนไว้ให้มีข้อมูลเพิ่มขึ้น ดังนั้น หากข้อมูลที่ถูกเขียนขึ้นในวิกิยังไม่สมบูรณ์ ก็จะมีผู้รู้เข้า มาเพื่อช่วยเขียน จนกลายเป็นความรู้ที่ดีและสมบูรณ์ในที่สุด

2. ประเภทเครื่องมือการติดต่อสื่อสำร (Communication Tools) ซอฟแวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์นอกจากจะให้เราจัดการความรู้ได้แล้ว ยังทำให้เราได้รู้จัก พูดคุย และ ติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่ต่างถิ่นทั่วโลกได้โดยซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทการติดต่อสื่อสารสามารถ แบ่งได้ดังรูปที่ 9-6 ซึ่งเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกของอินเทอร์เน็ตนั้นคือ จดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 60 ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต
             E-mail
         อีเมลย่อมาจาก จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail) คือ วิธีการหนึ่ง ของการแลกเปลี่ยนข้อความแบบดิจิทัล ซึ่งออกแบบขึ้นเพื่อให้มนุษย์ใช้เป็นสื่อหลักในการติดต่อสื่อสาร ข้อความ นั้นจะต้องประกอบด้วยเนื้อหา ที่อยู่ของผู้ส่ง และที่อยู่ของผู้รับ (ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่ง) เป็นอย่างน้อย บริการอีเมล บนอินเทอร์เน็ตในทุกวันนี้เริ่มมีการจัดตั้งมาจากอาร์พาเน็ต (ARPANET) อีเมลที่ส่งกันในยุค ค.ศ. 1970 นั้นมีความ คล้ายคลึงกับอีเมลในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงจากอาร์พาเน็ตไปเป็นอินเทอร์เน็ตใน ค.ศ. 1980 ท าให้เกิด รายละเอียดแบบสมัยใหม่ของการบริการ โดยส่งข้อมูลผ่านเกณฑ์วิธีถ่ายโอนไปรษณีย์อย่างง่าย (SMTP) ซึ่งได้ เผยแพร่เป็นมาตรฐานอินเทอร์เน็ต การแนบไฟล์มัลติมีเดียเริ่มมีการท าให้เป็นมาตรฐานในปี พ.ศ. 2539 ปัจจุบันมีผู้ให้บริการอีเมลฟรี เช่น Yahoo Mail (mail.yahoo.com) , Gmail (mail.google.com) และ Outlook (mail.live.com) เป็นต้น
               Chat room
          แชทรูม (Chat room) คือ การส่งข้อความในโปรแกรมห้องสนทนา ค าว่า “Chat” ในภาษาอังกฤษ แปลว่า สนทนาอย่างเป็นกันเอง การแชทจึงเป็นกิจกรรมยอดนิยม ซึ่งบางคนอาจจะต้องการหาเพื่อนคุยในเรื่องที่ สนใจเรื่องเดียวกัน โดยต้องเลือกห้องสนทนาที่ต้องการแล้วลงชื่อ จากนั้นก็จะสามารถเข้าไปสนทนาได้ทันที โดย เป็นการคุยตอบโต้ระหว่างกันผ่านเซิร์ฟเวอร์โดยใช้เว็บบราวเซอร์เราจะพิมพ์ข้อความที่จะคุยลงไปแล้วอีกฝ่ายก็จะ ตอบกลับมาเป็นข้อความเช่นกัน แต่วิธีการนี้มีข้อเสียคือ จะมีผู้อื่นอยู่ร่วมห้องสนทนากับเราด้วย และผู้อื่นก็ สามารถที่จะอ่านได้และเราเองก็จะสามารถอ่านข้อความสนทนาของผู้อื่นได้เช่นกัน และถ้ามีคนอยู่ในห้องสนทนา นั้นจ านวนมากจะท าให้ช้าหรือท าให้เราอ่านข้อความของคู่สนทนาของเราไม่ทัน นอกจากนี้บางซอฟต์แวร์สามารถ สนทนากันด้วยเสียงพูดผ่านไมโครโฟน หรือถ่ายภาพวิดีโอผ่านกล้องเว็บแคมได้อีกด้วย
                Zobe
         ซูเบ (http://zobe.com) ดังรูปที่ 9-10 เป็นบริการห้องสนทนาแบบกลุ่ม โดยการใช้งานเริ่มจากผู้ใช้ กรอกชื่อ อายุ และเพศ จากนั้นเข้าสู่ระบบจะพบหน้าจอสนทนาแบบกลุ่ม โดยผู้ใช้สามารถสร้างห้องสนทนาแบบ กลุ่มเอง หรือห้องสนทนาแบบหนึ่งต่อหนึ่งส าหรับสนทนากับคนที่เราต้องการเพื่อความเป็นส่วนตัว และยังสามารถ ปรับสีพื้นหลังห้องสนทนาได้อีกด้วย

3. ประเภทเครื่องมือเพื่อร่วมประสำนงำนแบบทันทีทันใด (Collaborative real-time editors) เครื่องมือเพื่อร่วมประสานงานแบบทันทีทันใด เป็นเครื่องมือที่ใช้ในกิจกรรมการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มใน ลักษณะออนไลน์ ไม่ต้องมีการพบปะหน้าตากันในชีวิตจริง แต่จะสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เครื่องมือนี้ สามารถให้ทำงานพร้อม ๆ กันได้ โดยที่ผู้ร่วมทำงานกับเราอยู่กันในเครือข่ายนี้ ซอฟต์แวร์ตัวแรก คือ SubEthaEdit ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ต้องติดตั้งลงในระบบปฏิบัติการ Mac OSX ซึ่งไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากใช้ได้กับ เฉพาะระบบปฏิบัติการนี้เท่านั้น ต่อมาเมื่อเกิดเทคโนโลยี Web 2.0 ซึ่งทำให้การทำงานของเว็บไซต์สามารถ ดำเนินงานโต้ตอบกับมนุษย์แบบรวดเร็วและทันทีทันใดได้ จึงได้เกิดซอฟต์แวร์ที่เป็นลักษณะที่ใช้เว็บไซต์เป็น พื้นฐาน (web-based application) เช่น Google Doc ที่สามารถสามารถสร้างไฟล์ทั้งเอกสารประมวลผลคำแบบออน์ไลน์ ซึ่งได้รับความนิยมมาก อีกทั้งยังมีเอกสารตารางคำนวณ เอกสารนำเสนอ รวมไปถึงการสร้างแบบฟอร์ม ต่าง ๆ ได้อีกด้วย ในส่วนของการประสานงานกับสมาชิกในกลุ่ม สามารถส่งคำเชิญ เพื่อให้ร่วมกันแก้ไขไฟล์ เดียวกันได้สามารถดูประวัติย้อนหลังของการดำเนินการได้สามารถยอมให้คนอื่น ๆ เห็นข้อมูลได้ รวมไปถึง สามารถบันทึกเป็นไฟล์นามสกุลต่าง ๆ ได้                                     ตัวอย่างของซอฟแวร์เพื่อร่วมประสานงานแบบทันทีทันใด
        เครื่องมือประเภทบรรณาธิกรแบบทันทีทันใด นับเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มคนที่ต้องทำงาน ร่วมกันบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่ไม่สามารถมาประชุมพบหน้ากันได้ เครื่องมือเหล่านี้ก็จะชวนลดความสับสนใน เรื่องของการแก้ไขล่าสุดของเอกสาร เพราะถ้าโดยปกติถ้าเราต้องแก้ไขเอกสาร 1 ไฟล์ โดยมีผู้ร่วมแก้ไข 5 คน ปัญหาที่พบก็คือเราจะไม่ทราบว่าตอนนี้ ใครแก้ไขอะไรบ้าง ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย แต่เครื่องมือประเภทนี้ เช่น Google Docs ก็จะช่วยให้ทำงานเกี่ยวกับเอกสารแบบกลุ่ม สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
                  Microsoft Office Online
        ไมโครซอฟต์ออฟฟิศออนไลน์(Microsoft Office Online) คือ ชุดโปรแกรมสำนักงาน Microsoft Office (Word, Excel, PowerPoint) ดังรูปที่ 9-22 ที่ไม่ต้องติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่สามารถใช้งานบนเว็บ บราวเซอร์แบบออนไลน์ได้ทันทีสามารถเข้าใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา อำนวยความสะดวกในการจัดการเอกสาร สำนักงานแบบออนไลน์สามารถเลือกรูปแบบของเอกสาร (Template) ได้หลากลายรูปแบบ สามารถให้ผู้ใช้งาน ทำงานร่วมกันได้หลายๆ คน และมีการสำรองเก็บไฟล์เอกสารทั้งหมดโดยอัตโนมัติสามารถเข้าใช้งานได้ที่เว็บไซต์ www.office.com โดยผู้ใช้จะต้องมีบัญชีผู้ใช้ของ Microsoft ก่อน
                   Google Docs
       กูเกิ้ลด็อก คือ โปรแกรมบรรณาธิกรออนไลน์ของบริษัทกูเกิ้ล (http://docs.google.com) โดยผู้ใช้สามารถใช้งานได้ฟรีบนเครือข่านอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม เพียงแค่มีเว็บบราวเซอร์และ มีอินเทอร์เน็ตก็สามารถใช้ Google Docs ได้ เครื่องมือของ Google Docs เป็นเครื่องสร้างไฟล์สำนักงาน ได้แก่ เอกสารประมวลผผลคำ (Docs) เอกสารตารางคำนวณ (Sheets) และสไลด์นำเสนอ (Slides) และสามารถเชิญให้ บุคคลอื่นมาร่วมเป็นเจ้าของไฟล์ ที่สามารถแก้ไขได้หรือดูได้เพียงอย่างเดียว เอกสารทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในเซิฟ เวอร์ของ Google และสามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังสามารถเลือกภาษาส าหรับประมวลผลคำได้ หลากหลายภาษา และเลือกบันทึกไฟล์เป็นรูปแบบอื่นๆ ได้ เช่น .docx, .txt และ .pdf เป็นต้น

4. ประเภทบริกำรเครือข่ำยสังคม (Social Network Services) ซอฟต์แวร์ประเภทบริการเครือข่ายสังคม คือ ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการผู้คนสามารถท าความรู้จัก และ เชื่อมโยงกัน มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุมชนออนไลน์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นที่ที่ทุกคนสามารถจำลอง ตัวเองไปในโลกที่เป็นโลกเสมือนในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลในสิ่งที่เราสนใจหรือ กิจกรรมต่าง ๆ กับบุคคลอื่น ๆ ที่อยู่ทั่วทุกมุมโลกได้ ซอฟต์แวร์ประเภทบริการเครือข่ายสังคมส่วนใหญ่จะ ให้บริการอยู่ในรูปของโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ (Web application)

วิวัฒนาการของการเติบโตของซอฟต์แวร์เครือข่ำยสังคมออนไลน์
         ซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์เริ่มมีวิวัฒนาการโดยเริ่มมาจากระบบอีเมล ในปี ค.ศ. 1970 ซึ่งนับได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนผู้รับส่งใช้งานอีเมล จากรูปที่ 9-6 เป็นรูปแสดงวิวัฒนาการของซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคม ออนไลน์ในปี ค.ศ. 1995 อีเมลเริ่มใช้งานแพร่หลายในกลุ่มคนทั่วไปจึงเกิดฟรีอีเมล 2 ค่ายใหญ่คือ Yahoo และ Hotmail ซึ่งสามารถสมัครใช้ได้ฟรี และปี ค.ศ. 2004 อีเมลน้องใหม่ที่เพิ่งจะมีก็คือ Gmail ซึ่งเป็นฟรีเมลแรกที่ให้ พื้นที่ของในการจัดเก็บอีเมลถึง 1 GB ซึ่งในยุคนั้น เรายังมี Flash Drive ใช้กันโดยมีพื้นที่เพียง 4 MB เท่านั้น การ ที่ Gmail ให้พื้นที่มากมายขนาดนี้ จึงเป็นที่ฮือฮามากในช่วงนั้น ถ้าลองสังเกตให้ดีจะพบว่า ซอฟต์แวร์เครือข่าย สังคมออนไลน์ในยุคต่อ ๆ มา จะเริ่มเป็นลักษณะซอฟต์แวร์เพื่อสร้างกลุ่มคนเพื่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์บนเครือข่าย อินเทอร์เน็ตมากขึ้น การปฏิสัมพันธ์ที่ดังกล่าว ได้แก่ การส่งข้อความแบบรวดเร็วทันใจ การเก็บข้อมูล ลิงค์ที่เรา สนใจบนเครือข่าย การแบ่งปันหรือแชร์ข้อมูลข่าวสาร รูปภาพ วีดีโอ พร้อมกันนี้ก็ยังสามารถไปดูข้อมูลของผู้อื่นได้ (ในกรณีที่อนุญาตให้เห็นหรือใช้งานได้) เช่น BLOG, WikiPedia, Delicious, Youtube สาเหตุหนึ่งที่ท าให้เกิด สังคมออนไลน์มากขึ้นในยุคนี้ เป็นเพราะช่วงปีนี้เป็นช่วงที่เกมส์ออนไลน์จากประเทศเกาหลีเริ่มเข้ามาให้ประเทศ ไทย และนับเป็นช่วงเฟื่องฟูของเกมส์ออนไลน์เลยทีเดียว เช่น แรกนอร็อก ทริกสเกอร์ออนไลน์เมเบิ้ลออนไลน์โย กัง สิ่งที่ตามมาก็คือ กลุ่มคนเหล่านี้มักใช้เครื่องมือทางสังคมในการแลกเปลี่ยนความรู้เทคนิคต่าง ๆ ผ่านเว็บ บอร์ด ผ่านวิกิรวมไปถึงเริ่มเป็นกลุ่มเพื่อท างานร่วมกัน เช่น กลุ่มพัฒนาบอท เป็นต้น และในยุคตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 เป็นต้นมา เริ่มเป็นยุคของซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างมาก เพราะทุก ๆ ปฏิสัมพันธ์รวมกันอยู่ที่ ซอฟต์แวร์ในตัวเดียว เช่น Friendster, Hi5, Facebook โดยวิวัฒนาการของซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์

ความปลอดภัยของการใช้ซอฟต์แวร์เครือข่ำยสังคมออนไลน์
 ในการใช้ซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น เราจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่ร่วมอยู่ในเครือข่าย ดังนั้น เราพึงระลึกไว้เสมอว่า การกระทำใด ๆ ในอินเทอร์เน็ตนั้น เปรียบเสมือนเราได้กระทำจริง ๆ ดังนั้น สิ่งที่พึงระลึก ถึง เช่น
  ความปลอดภับของการใช้ข้อมูลส่วนตัว ในสังคมออนไลน์นั้น ยากที่จะตัดสินได้ว่า ใครดีหรือไม่ดี เพราะภาพลักษณ์และคำพูดต่าง ๆ นั้น สามารถเสริมแต่งหรือบิดเบือนได้ ดังนั้น เราไม่ควรบอก หรือให้ข้อมูลส่วนตัวของเรากับคนที่เราไม่รู้จักในชีวิตจริง เช่น ไม่ให้ชื่อจริง-นามสกุลจริง เบอร์ โทรศัพท์ เพราะสิ่งเหล่านี้ อาจจะก่อให้เกิดผลร้ายกับตัวเราเองในภายหลังได
 การรักษามารยาทในการสื่อสาร เมื่อเราเขียนลงอินเทอร์เน็ต นั่นย่อมหมายความว่า เราได้เผยแพร่ ข้อความนั้นสู่สาธารณะแล้ว ดังนั้น เราจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราเขียนด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ คำพูดในอินเทอร์เน็ตจริงเป็นเหมือนตัวแทนของเรา เช่น ในเว็บบอร์ด ถ้าเราใช้ถ้อยคำที่ไม่ดี ดูถูก ผู้อื่น ก็จะส่งผลให้ผู้อื่นไม่พอใจ และเกิดการต่อว่ากันในเว็บบอร์ด และอาจจะส่งผลถึงการปิดเว็บ บอร์ดไปเลยก็ได้ 
 การเคารพในสิทธิของผู้อื่น ในที่นี้ หมายรวมไปถึงการไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ของผู้อื่นด้วย เช่น การไม่คัดลอกเอารูปหรือข้อความจากเว็บไซต์อื่นมาลงในบล็อกของตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น 

บทที่6 โลกไร้พรมแดน

 เว็บคืออะไร
World Wide Web หรือที่เรามักเรียกสั้นๆว่า Web หรือ W3 (WWW) คือ คอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งบนอินเตอร์เน็ต ที่ถูกเชื่อมต่อกันในแบบพิเศษที่ทำให้คอมพิวเตอร์เหล่านั้นสามารถเข้าถึงข้อมูลเนื้อหาที่เก็บไว้ภายในของแต่ละเครื่องได้ (กลายเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่) โดยผ่านทาง บราวเซอร์ (Browser) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ประเภทหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้อ่านและตอบโต้ข้อมูลต่างๆที่มีอยู่ใน World Wide Web โดยเฉพาะ บราวเซอร์ที่พบเห็นได้มากที่สุดในปัจจุบัน ได้แก่ Internet Explorer ของ และ Firefox
            การนำเสนอข้อมูลในระบบ WWW (World Wide Web) พัฒนาขึ้นมาในช่วงปลายปี 1989 โดยทีมงานจาก ห้องปฏิบัติการทางจุลภาคฟิสิกส์แห่งยุโรป (European Particle Physics Labs) หรือที่รู้จักกัน ในนาม CERN (Conseil European pour la Recherche Nucleaire) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้มี การพัฒนา ภาษาที่ใช้สนับสนุน การเผยแพร่เอกสารของนักวิจัย หรือเอกสารเว็บ (Web Document) จากเครื่องแม่ข่าย (Server) ไปยังสถานที่ต่างๆ ในระบบ WWW เรียกว่า ภาษา HTML (HyperText Markup Language)
             การเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ผ่านสื่อประเภทเว็บเพจ (WebPage) เป็นที่นิยมกันอย่างสูงในปัจจุบัน ไม่เฉพาะข้อมูลโฆษณาสินค้า ยังรวมไปถึงข้อมูลทางการแพทย์ การเรียน งานวิจัยต่างๆ เพราะเข้าถึงกลุ่มผู้สนใจได้ทั่วโลก ตลอดจนข้อมูลที่นำเสนอออกไป สามารถเผยแพร่ ได้ทั้งข้อมูลตัวอักษร ข้อมูลภาพ ข้อมูลเสียง และภาพเคลื่อนไหว มีลูกเล่นและเทคนิคการนำเสนอ ที่หลากหลาย อันส่งผลให้ระบบ WWW เติบโตเป็นหนึ่ง ในรูปแบบบริการ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ ระบบอิน
           ลักษณะเด่นของการนำเสนอข้อมูลเว็บเพจ คือ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลไปยังจุดอื่นๆ บนหน้าเว็บได้ ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บอื่นๆ ในระบบเครือข่าย อันเป็นที่มาของคำว่า HyperText หรือข้อความที่มีความสามารถ มากกว่าข้อความปกตินั่นเอง จึงมีลักษณะคล้ายกับว่าผู้อ่านเอกสารเว็บ สามารถโต้ตอบกับเอกสารนั้นๆ ด้วยตนเอง ตลอดเวลาที่มีการใช้งานนั่นเอง

เว็บมาจากไหน
        เว็บมำจำกไหน หลายคนคงสงสัยว่าเทคโนโลยีเว็บเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มาจากไหน เชื่อได้เลยว่าหลาย ๆ คน จะบอกว่า www เกิดมาจากประเทศมหาอ านาจของโลกคือสหรัฐอเมริกา แต่ความจริงแล้ว www ไม่ได้ถือก าเนิดที่ สหรัฐอเมริกา แต่ถือก าเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยมีโครงการทางวิชาการในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่าง นักวิทยาศาสตร์ในทวีปยุโรป โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ CERN ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยทางนิวเคลียร์ฟิสิกส์ที่ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ ผู้ที่ได้รับเกียรติเป็นบิดาของเว็บได้แก่ Tim Berners-Lee ซึ่งคิดโครงการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร ขึ้นมาโดยใช้ระบบไฮเปอร์เท็กซ์ และโครงการได้รับความนิยมมากขึ้น ท าให้เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ไป ปัจจุบันนี้ Tim Berners-Lee ท างานอยู่ที่ World Wide Web Consortium หรือชื่อย่อว่า W3C ซึ่งเป็นองค์กรศูนย์กลาง ของเครือข่ายใยแมงมุมทำหน้าที่รับรอบมาตรฐานต่าง ๆ ของระบบทั้งหมด

        Web 4.0 ยุคที่เว็บมีควำมฉลำด Web 4.0 นั้นพัฒนาต่อจาก Web 3.0 โดยหัวใจของมันก็คือ ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับ พฤติกรรมของผู้ใช้ (Adaptable) เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกและได้รับข้อมูลที่พวกเขาต้องการมากที่สุด โดยประยุกต์ใช้รูปแบบพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นตัวค้นหา อีกทั้งเป็นเว็บที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองว่าผู้บริโภค ชอบ หรือ ไม่ชอบ อะไรในเว็บ หากชอบฟังก์ชันการท างานนั้นก็จะปรับตัวให้ดียิ่งขึ้นและสร้างความเกี่ยวพัน กับ การใช้งานของผู้บริโภคมากขึ้น แต่ถ้าหากไม่ชอบฟังก์ชันการท างานนั้น ๆ จะค่อยหายไปจนไม่แสดงขึ้นมาอีกเลย เว็บ 4.0 เป็นแนวคิดเบื้องต้น คือ แทนที่จะต้องสั่งให้คอมพิวเตอร์ท าอะไรโดยเข้าไปในโปรแกรมต่าง ๆ เว็บจะ ปรับตัวเองให้เข้ากับการใช้งานของผู้ใช้ เช่น ปรับเป็นโปรมแกรมที่เราต้องการ เว็บ 4.0 คือจินตนาการว่าเว็บฉลาด ขึ้นจนถึงขีดสุด ทำให้มันสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ง่าย โดยเราไม่ต้องท าอะไร เพียงแค่เราคิดก็สามารถถ่ายทอด ข้อมูลไปยังบุคคลอื่นได้ หรือสามารถเรียนรู้ว่าเราอ่านหนังสือเล่มไหนแล้วเราชอบ ทราบว่าเรามีหนังสือจำนวน เท่าใด และสามารถแนะนำหนังสือที่เราอาจจะชอบได้ สรุปว่าเว็บในอนาคตจะฉลาดขึ้น รู้ความต้องการของผู้ใช้ มากขึ้นโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา

            Web ในเชิง Social
    แนวความคิดเกี่ยวกับเว็บของมนุษย์ค่อย ๆ เปลี่ยนไป จากเดิมผู้ใช้งานจะรับข้อมูลจากผู้สร้างเว็บเพียง อย่างเดียว มาสู่ยุคที่ผู้ใช้งานสามารถสร้างเนื้อหาไปสู่ผู้ใช้งานด้วยกันเกิดเป็นความสัมพันธ์ ที่ซับซ้อนและซ้อนทับ กันระหว่างคนกลุ่มคน ผู้ใช้คนเดียวอาจสื่อสารไปสู่กลุ่มคนหลายกลุ่มได้ พร้อมการตอบกลับอย่างรวดเร็ว ที่เรียกว่า การตลาดแบบปากต่อปาก หรือ Virtual Marketing แต่ปากในที่นี้คือโลกอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
    และพลังของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตก็ท าให้ข่าวสารส่งไปตรงกลุ่มด้วยการประมวลผลของระบบ และ การ เลือกรับเนื้อหาของผู้ใช้งานเอง ท าให้โลกออนไลน์ถูกจับตามองอย่างมากของนักการตลาด นอกจากนี้ลักษณะเด่นอีกอย่างของเครือข่ายสังคมออนไลน์คือ ความรู้สึกใกล้ชิดที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่ สื่อสาร ที่ช่องทางอื่น ๆ ไม่สามารถท าได้ ผู้สื่อสารสามารถใส่ความเป็นกันเอง หรือตอบค าถามเฉพาะรายบุคคลได้ ไม่ยาก จึงสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีกับผู้สร้างได้อีกด้วย

                                  ความสามารถในการรองรับการขยายตัวของโลกอินเทอร์เน็ต 
   การสื่อสาร ความสามารถหนึ่งของเว็บ คือการรองรับการขยายตัวของระบบ (Scalability) รองรับความต้องการที่ เพิ่มขึ้น เมื่อก่อนเราใช้โทรศัพท์คุยกันต้องหยอดเหรียญกดเบอร์ แล้วรอสัญญาณจากปลายทางรับสาย แต่สมัยนี้ มือถือที่เราใช้ทุกวันนี้เราสามารถคุยเห็นหน้ากัน เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก ตัวอย่างเช่น Google Hangout
       การค้นหาเส้นทาง
 สมัยก่อนเมื่อเราต้องการหาเส้นทาง การเดินทางจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเราต้องใช้แผนที่นำทาง เมื่อ เทคโนโลยีเว็บ เข้ามาท าให้เราสามารถหาข้อมูลเส้นทางการเดินทางได้ออนไลน์ นอกจากนี้เมื่อ เทคโนโลยีเว็บ ขยายตัวท าให้การค้นหาสถานที่ต่าง ๆ สามารถแสดงภาพของสถานที่ที่เราจะไปเสมือนจริงเหมือนเรายืนอยู่ ณ ตำแหน่งนั้น ๆ
       การเก็บข้อมูล 
  พื้นที่จัดเก็บข้อมูลออนไลน์ฟรีสำหรับแฟ้มข้อมูลต่าง มีการให้บริการจำนวนมาก เช่น OneDrive ของ Microsoft ซึ่งเราสามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ เมื่อมีการบันทึกไฟล์ไว้ใน OneDrive เราจะเรียกใช้ไฟล์ได้ทุกเมื่อ และ ด้วยโปรแกรม OneDrive ที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์ท าให้สามารถซิงค์แฟ้มข้อมูลไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ ในการดาวน์โหลด OneDrive ทั้งหมดต้องการเพียงบัญชีผู้ใช้งานของ Microsoft เท่านั้น ถ้าเราใช้บริการ Microsoft เช่น Xbox, Hotmail, Skype หรือ Outlook.com มาก่อนหน้านี้ เราจะมีบัญชีเพื่อใช้งาน OneDrive ไปโดยปริยาย  
ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต
      เนื่องจากโลกอินเทอร์เน็ตเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีการเชื่อมโยงติดต่อกัน ทั่วโลก โดยมีมาตรฐานการรับส่งข้อมูลเป็นมาตรฐานเดียวกัน ดังนั้น อินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งเรียนรู้และค้นคว้า ข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการได้ ซึ่งสรุปประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตได้ ดังนี้ 
              ด้านการศึกษา
    อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ช่วยให้ผู้ที่ศึกษาสามารถหาข้อมูล หาความรู้ต่าง ๆ เพิ่มเติม ซึ่ง จะมีการเผยแพร่ข้อมูล งานวิชาการต่าง ๆ มากมาย อีกทั้งมีระบบการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถเรียนเรื่องที่เราสนใจจากที่ใดก็ได้ 
              ด้านธุรกิจ 
     อินเทอร์เน็ตสามรถทำธุรกิจด้านการค้า ซื้อและขายสินค้าบริการต่าง ๆ ได้โดยที่ผู้ซื้อผู้ขายสามารถติดต่อ ซื้อขายได้โดยตรง ท าให้สะดวก และประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และยังช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจ 
             ด้านการสื่อสาร
 ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย ได้แก่การติดต่อสื่อสาร เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) หรือการพูดคุยด้วยการ ส่งสัญญาณภาพและเสียง (Conference) เช่น Skype 
             ด้านให้ความบันเทิง 
ข่าวสาร สิ่งที่น่ำสนใจ อินเทอร์เน็ตถือว่าเป็นแหล่งความบันเทิงได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง คล้ายการนั่งดูทีวี ดูหนัง อ่านหนังสือ หรือ บทความต่าง ๆ ซึ่งสามารถจะดูหรือใช้งานที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ได้ตามความต้องการ

โทษของอินเทอร์เน็ต 
     นอกจากอินเตอร์เน็ตจะให้ประโยชน์แล้วยังก่อให้เกิดโทษได้ด้วยเช่นกัน เหมือนที่มีค าพูดเปรียบว่า อินเทอร์เน็ตเหมือนดาบสองคม ถ้าใช้ในทางที่ถูกก็จะเกิดประโยชน์ ถ้าใช้ผิดก็จะเกิดโทษแก่ตัวผู้ใช้เอง โดยมีปัญหา ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้จาก อินเตอร์เน็ตดังนี้
  อนาจารผิดศีลธรรม เนื้อหาข้อมูลต่าง ๆ ที่ส่อไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามก อนาจาร หรือรวมถึงภาพโป๊เปลือยต่าง ๆ จาก คลิปหลุดและคลิปแอบถ่าย ซึ่งอาจเป็นการนำไปสู่การหลอกลวงและอาชญากรรมได้ 
 เด็กติดเกม ในปัจจุบันการเล่นเกมออนไลน์ ของเด็กนั้นข้อมูลจาก โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร เพื่อการพัฒนาสังคมไทย พบว่าเด็กส่วนใหญ่ที่เข้าไปใช้บริการในร้านที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตนั้นไปเพื่อ เล่นเกม 90% และเน้นเกมการต่อสู้รุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การเลียนแบบ และอาจจะก่อให้เกิดอาชญากรรมได้
  ไวรัสคอมพิวเตอร์ โปรแกรมซึ่งจะขยายพันธุ์โดยการจำลองตัวเองให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ เพื่อที่จะทำลายข้อมูลต่าง ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ และทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงโดยการใช้หน่วยความจำหรือพื้นที่ว่างบนดิสก์ 
 ใช้อินเทอร์เน็ตวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ทำให้มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวน กระวายเมื่อเลิกใช้อินเทอร์เน็ต ต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็น เวลานานขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกหงุดหงิดมาก เมื่อต้องใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตของ ตัวเองได้เสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ์ในครอบครัว 

โปรแกรมประยุกต์บนอินเทอร์เน็ต (Application on Internet) 
โปรแกรมประยุกต์มีมากมายหลายประเภท โดยในบทนี้ขอยกตัวอย่างบริการบนอินเตอร์ที่น่าสนใจดังนี้ 1. Online Storage Online Storage หรือ Cloud Storage เป็น พื้นที่จัดเก็บไฟล์ ฟรี แบบออนไลน์ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทุกวัน ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ที่ต้องการเก็บไฟล์ไว้แบบออนไลน์ เพื่อสามารถเรียกใช้ได้ ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องพกพาไปแต่อย่างใด หรือเพื่อแบ่งบันให้กับเพื่อน ๆ บนอินเทอร์เน็ต การบริการ พื้นที่จัดเก็บไฟล์ แบบออนไลน์ ท าให้เราสามารถเข้าใช้ไฟล์ของเราได้จากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ ที่มีอินเตอร์เน็ต หรือจากอุปกรณ์พกพา ประเภทต่าง ๆ เนื่องจากมีบริการ Online Storage ของหลายบริษัทด้วยกัน อาทิเช่น SugarSync, DropBox, iCloud, FlipDrive, Google Drive, OneDrive

                 OneDrive 
       Microsoft นั้นได้เปิดบริการ OneDrive ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อมาจาก SkyDrive ซึ่งเป็นบริการที่ลักษณะคล้าย กับที่เก็บข้อมูลส่วนตัวมากกว่าการแชร์ไฟล์ ซึ่งเป็นลักษณะของเว็บฝากไฟล์ในสมัยนั้นก่อนที่จะปรับปรุงมาเมื่อไม่ นานมานี้ โดย OneDrive ที่ปรับปรุงใหม่เมื่อสมัครจะมีพื้นที่ให้ 7GB ซึ่งมากที่สุดในบรรดาของผู้ให้บริการด้วยกัน นอกจากนี้ผู้ที่ใช้งาน SkyDrive มาก่อนหน้าจะสามารถอัพเกรดเป็น 25GB ได้เหมือนกับ SkyDrive ในสมัยก่อน หน้า ซึ่งเป็นจุดที่ดีที่สุดของ OneDrive เหนือบริการอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน 
      นอกจากนี้ OneDrive ยังรวมความสามารถในการสร้าง อ่าน เเละแชร์ไฟล์เอกสารจากบริการ Office 365 หรือ Office บนเว็บไซต์ด้วยคือ Word, Excel เเละ PowerPoint โดยการเเชร์ไฟล์นั้น OneDrive จะเน้นส่ง ลิงค์ไปทาง e-mail เเละมีการเพิ่มโปรแกรมประยุกต์ที่สามารถท างานได้บนระบบปฏิบัติการ Windows, OSX, iOS, Windows Phone เพื่อให้สามารถเข้าถึงไฟล์หรือซิงค์ไฟล์ได้โดยไม่จ าเป็นต้องเข้าผ่านทางเว็บไซต์อย่างเดียว
                 Dropbox 
Dropbox นั้นถือเป็นผู้น าในตลาดของ Cloud Storage มานานโดย Dropbox นั้นถือว่าเป็นบริการที่มี ลูกเล่นค่อนข้างมากเเละสนับสนุนเเพลตฟอร์มยอดนิยมไม่ว่าจะเป็น Windows, OSX, Linux, Android, iOS หรือ สามารถใช้งานผ่าน Website ได้อย่างสมบูรณ์เเละมีหน้าตาของบริการที่ใช้งานได้ง่าย เช่น ลากไฟล์จากหน้า จอคอมพิวเตอร์ผ่านเบราว์เซอร์ก็สามารถอัพโหลดข้อมูลได้ ใขขณะที่ผู้ให้บริการบางรายยังต้องใช้ผ่านเมนูอัพ โหลด 
         ความสามารถของ Dropbox นั้นถึงเเม้จะเป็นฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่เรียบง่าย เเต่พบว่าสามารถใช้งานได้จริง เเละสะดวกในการใช้งาน เช่น Dropbox บนมือถือนั้นจะมีความสามารถรูปถ่ายบนมือถือขึ้น Dropbox โดย อัตโนมัติ ท าให้เราไม่ต้องเสียเวลาน ารูปออกจากโทรศัพท์มือถือด้วยตัวเอง หรือจะเป็นฟีเจอร์อย่างการสร้างลิงค์ใน ไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ก าหนดโดยเฉพาะ เพื่อให้คนสามารถมาดาวโหลดไฟล์ที่เราก าหนดไว้ได้ โดยจะไม่สามารถเห็น ไฟล์อื่น ๆ ของเรา ส่วนความสามารถพื้นฐานอย่างการเเชร์โฟลเดอร์ การดูรายละเอียดของ Dropbox ว่ามีการ เพิ่มหรือลดไฟล์อะไรไปบ้าง ซึ่งรวมไปถึงการย้อนกลับเมื่อเราลบไฟล์นั้นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ท าให้ Dropbox นั้นเป็น Cloud Storage ที่มีฟีเจอร์โดดเด่น เเละใช้งานง่ายที่สุดเจ้าหนึ่งในตอนนี้ ข้อเสียของ Dropbox นั้นคือให้พื้นที่เริ่มต้นมาน้อยที่สุดคือ 2 GB เเต่ว่ามีกิจกรรมที่สามารถเพิ่มพื้นที่ ข้อมูลค่อนข้างมาก ซึ่งต้องติดตามข่าวสักนิดหนึ่ง เช่น ใช้ Camera Upload จะสามารถเพิ่มพื้นที่ให้มากสุดถึง 3GB หรือสามารถเเนะน าให้คนอื่นใช้งานจากบัญชีผู้ใช้งานเราจะได้เพิ่ม 500 MB ต่อคนซึ่งท าได้สูงสุดถึง 16GB ทีเดียว ถ้าท าตามเงื่อนไขทั้งหมดเเล้วจะได้พื้นที่ประมาณ 20 GB ขึ้นไป เเต่ถ้าใครต้องการซื้อพื้นที่เพิ่มนั้นก็ สามารถท าได้ การแชร์โฟลเดอร์ต่าง ๆ ให้กับคนอื่น ๆ เพื่อให้‘ท างานร่วมกันได้’ (Collaboration) นอกจากนี้ ยังสร้าง Public Link ให้ผู้ใช้คนอื่น ๆ สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย การใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็น Android iOS หรือ Tablet 
               Google Drive
     บริการน้องใหม่ล่าสุดอย่าง Google Drive เป็นบริการที่ถูกมาเเทน Google Docs เดิมหรือจะเรียกว่า เป็นการเสริมความสามารถของ Google Docs ที่สามารถเก็บไฟล์เอกสารอย่างเดียว ให้รองรับไฟล์หลายประเภท เเละสามารถใช้งานได้เหมือนกับเป็นเป็น “Hard drive” Google Drive นั้นยังคงมีความสามารถเหมือนกับ Google Docs เดิมคือสามารถเปิดอ่าน เเก้ไข เเละเเชร์ไฟล์เอกสารได้เหมือนเดิม เเละเพิ่มความสามารถในการอัพโหลดไฟล์ชนิดใดก็ได้ขึ้นไป โดยให้พื้นที่ทั้งหมด 5 GB จุดเด่นที่สุดของ Google Drive คือการรวมเข้ากับบริการต่าง ๆ ของ Google เช่นเราสามารถส่งลิงค์ไฟล์ ของ Google Drive เเทนที่จะต้องเเนบไฟล์ผ่านอีเมล์ หรือเเชร์รูปภาพผ่านบน Google+ ผ่าน Google Drive ได้ โดยตรง รวมไปถึงระบบค้นหาไฟล์เเละย้อนเวลากลับไปดูกิจกรรมที่เราท าไว้ในวันก่อนว่ามีการเพิ่ม / ลดไฟล์ใด เเละกู้คืนมาได้เหมือนกับ Dropbox 

2. Online Application Google App Google (Google Inc.) เป็นบริษัทมหาชนอเมริกัน มีรายได้หลักจากการโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฏใน Search Engine ของ Google อีเมล์แผนที่ออนไลน์ ซอฟต์แวร์จัดการด้านส านักงาน เครือข่ายออนไลน์ และวิดีโอ ออนไลน์ รวมถึงการขายอุปกรณ์ช่วยในการค้นหา Google โดยมี Application ที่รองรับความต้องการของ ผู้ใช้งานมากมาย 
                    1. ค้นหาข้อมูล รูปภาพและอื่น ๆ Google Search Engine (http://www.google.com/) 
                    2. รับ-ส่งอีเมล์ Gmail (http://mail.google.com/) 
                    3. บุ๊คมาร์คหน้าเว็บที่ชื่นชอบ Google Bookmark (http://bookmarks.google.com/)
                    4. ดูแผนที่ Google Maps (http://maps.google.com/) และ Google Earth (http://earth.google.com/) 
                    5. พิมพ์งานและเอกสารผ่าน Google Docs (http://docs.google.com/) 
                    6. วางแผนชีวิต Google Calendar (http://calendar.google.com/)
                    7. รับฟอร์เวิร์ดเมล์ Google Groups (http://groups.google.com/) 
                    8. แปลภาษา Google Dictionary (http://dictionary.google.com/) 
                    9. ดูวิดีโอ Youtube (http://www.youtube.com/ อันนี้ก็ของ Google) 
                   10. อ่านหนังสือหายาก Google Books (http://books.google.com/) 
                   11. ปฎิทินส่วนตัว Google Calendar (https://calendar.google.com/) 
                   12. วิเคราะห์ข้อมูลการเข้าใช้ Web Site Google analytic (https://analytics.google.com/) 
                   13. พิมพ์เอกสารได้ทุกที่ทุกเวลา Google Cloud Print 
                   14. การสนทนาออนไลน์ และ Conference Hangout

วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ข่าวที่4

‘เทสโก้โลตัส’ลุยลงทุน5ปีสยายปีก‘500สาขา’ 

ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยมีการแข่งขันอย่างรุนแรงและ “ผู้เล่น” จำนวนมากทั้งทุนท้องถิ่นและยักษ์ข้ามชาติ แต่ยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสะท้อนจากผู้ประกอบการแต่ละรายต่างเดินหน้ารุกขยายเครือข่ายสาขาอย่างต่อเนื่องด้วยศักยภาพความเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาคมีโอกาสสร้างยอดขายจากผู้บริโภคในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ  
นายจอห์น คริสตี้ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้บริหารเครือข่ายร้านค้าปลีก “เทสโก้ โลตัส” กล่าวว่า ในภูมิภาคเอเชีย ประเทศไทยเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ลงทุนและสร้างการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทแม่ กลุ่มเทสโก้ ประเทศอังกฤษ 
ด้วยศักยภาพและโอกาสธุรกิจของไทย เทสโก้ โลตัส เชื่อว่าจะยังสามารถขยายสาขาในระดับไม่ต่ำกว่า 100 สาขาต่อปี ต่อเนื่อง 3-5 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เทสโก้ โลตัส เปิดสาขาใหม่เฉลี่ย 100 แห่งต่อปี ภายใต้งบลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้นช่วง 3-5 ปี จะมีสาขาเปิดใหม่ของเทสโก้ โลตัส 300-500 สาขาทั่วประเทศ 
สำหรับปี 2560 เตรียมเปิดร้านค้าปลีกขนาดใหญ่รูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต 11 แห่ง อีก 90 สาขา เป็นร้านค้าปลีกขนาดกลางและเล็ก เน้นรูปแบบ ตลาดโลตัส และเอ็กซ์เพรส นอกจากนี้มีแผนปรับปรุง 18 สาขาเก่า รวมทั้งขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าออนไลน์ให้มีความหลากหลายและปริมาณของสินค้าเพิ่มขึ้น การปรับปรุงด้านอาหารสดตลอดเส้นทางซัพพลายเชน เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าและราคาให้ต่ำลงกว่าเดิมรองรับการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีก
เจาะภาคกลาง-อีสาน
ปัจจุบันเทสโก้ โลตัส มีเครือข่ายสาขากว่า 1,900 แห่ง ใน 73 จังหวัดทั่วประเทศ ตั้งเป้าสิ้นปีนี้มีสาขา 2,000 แห่ง การขยายสาขาส่วนใหญ่เน้นในเขตภาคกลางและอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงจากการขยายโครงการคมนาคมของภาครัฐ ทำให้เกิดการขยายตัวของชุมชนเมืองและการกระจายรายได้จากการจ้างงาน นำสู่ความต้องการสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นโอกาสขยายตัวของธุรกิจค้าปลีก
“นโยบายรัฐทั้ง ไทยแลนด์ 4.0 การขับเคลื่อนประชารัฐ สนับสนุนภาคเอสเอ็มอี โอทอป สินค้าชุมชนต่างๆ รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยต่างๆ เป็นการเพิ่มรายได้และเงินในกระเป๋าผู้บริโภคให้สามารถจับจ่ายได้เพิ่มขึ้น”
ทั้งนี้ พื้นที่ต่างจังหวัดยังเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญในการเปิดตลาดผ่านรูปแบบร้านค้าปลีกในเครือทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ซึ่งบางพื้นที่ต้องการรูปแบบของ “มอลล์” ขนาดเล็ก ตรงกับรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตซึ่งมีส่วนของพื้นที่พลาซ่า หรือบางพื้นที่ ลูกค้าต้องการร้านขนาดเล็กเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการใช้บริการ ดังนั้นการเลือกรูปแบบร้านค้าปลีกจะเน้นสอดคล้องความต้องการของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ   
ชูประสบการณ์ใหม่ดึงลูกค้า
เพื่อรับการแข่งขันและพฤติกรรมลูกค้ายุคใหม่ที่มองหาสินค้าและบริการแปลกใหม่ตลอดเวลา เทสโก้ โลตัส ได้ปรับกลยุทธ์การทำตลาดเน้นยกระดับประสบการณ์การชอปปิงเพื่อดึงดูดลูกค้ามาใช้บริการมากขึ้น มีการปรับพื้นที่ การจัดเรียงสินค้าที่่สวยงาม กิจกรรมและการให้บริการในแต่ละสาขา 
“ลูกค้าที่เข้ามาในร้านค้าปลีกไม่ได้มาซื้อแค่สินค้าอุปโภคบริโภค แต่มองหาสินค้าอื่นๆ มาทานข้าว มาทำธุรกรรมต่างๆ ทำอย่างไรให้ลูกค้ามาช้อปแล้วรู้สึกสนุกสนาน ก็จะอยากมาอีกเป็นโจทย์สำคัญในการทำตลาดปีนี้”

ชูคุณภาพอาหารสดคู่ราคา
พร้อมกันนี้ งบประมาณส่วนใหญ่ของการลงทุนในปีนี้ จะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาซัพพลายเชนอาหารสด เพื่อยกระดับคุณภาพอาหารสด ขณะเดียวกันจะทำให้ราคาถูกลงด้วย โดยการพัฒนาซัพพลายเชน ครอบคลุมทุกขั้นตอนตั้งแต่ตันน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การวางแผนปริมาณการเพาะปลูก การให้ความรู้ด้านเทคนิคที่ช่วยเพิ่มผลผลิต และพัฒนามาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า 
นอกจากนี้ ได้ลงทุนซื้อเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยสำหรับโรงแพ็คสินค้า ระบบการจัดส่งสินค้า และศูนย์กระจายสินค้า เพื่อให้ผลผลิตคงความสดได้นานขึ้น
โดยปีนี้เทสโก้ โลตัส จะเน้นสื่อสารและตอกย้ำ “คุณภาพ” ของอาหารสด ควบคู่ “ราคา” ที่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการแข่งขัน
“พฤติกรรมลูกค้าเลือกสินค้าคุณภาพมากขึ้น ไม่ได้มองหาของถูกอย่างเดียว การแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกเวลานี้ราคาถูกอย่างเดียวไม่พอ ถูกอย่างเดียวแข่งขันไม่ได้”
 ดัน‘ออนไลน์’โตก้าวกระโดด 
นายคริสตี้ กล่าวต่อว่า ค้าปลีกออนไลน์ในไทยเติบโตก้าวกระโดด โดยเทสโก้ โลตัสมุ่งพัฒนาระบบและบริการให้ลูกค้าได้รับความสะดวกมากขึ้น นับเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกใช้บริการ   ทั้งนี้เทสโก้ โลตัส ได้ขยายช่องทางการค้าออนไลน์ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ เทสโก้ โลตัส ช้อป ออนไลน์ มีสินค้ามากกว่า 2 หมื่นรายการ ครอบคลุมอาหารสด สินค้าอุปโภคบริโภคเว็บไซต์ลาซาด้า มีสินค้ากว่า 1.2 หมื่นรายการ อาทิ ผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม รวมทั้้งเว็บไซต์ วีเลิฟชอปปิงดอทคอม เจาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิงโดยเฉพาะ มีสินค้ากว่า 4,000 รายการ 
“ค้าปลีกออนไลน์ตลาดเปลี่ยนเร็วมาก  ธุรกิจต้องตามเทรนด์ให้ทันเพื่อป้อนสินค้ารองรับความต้องการของลูกค้าในขณะนั้นได้อย่างทันท่วงที” 
แพลตฟอร์มออนไลน์จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าวงกว้าง แม้ปัจจุบันสัดส่วนการขายเทียบยอดขายรวมน้อยมาก แต่การเติบโตสูงต่อเนื่องระดับ “3 หลัก” ทุกปี