วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บทที่8 ชีวิตง่ายๆในโลกดิจิทัล

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
     จากการที่การใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารที่กว้างไกล ท าให้ผู้คนในพื้นที่ต่าง ๆ สามารถใช้งานระบบอินเทอร์เน็ตได้อย่าง กว้างขวางไร้พรมแดน ในขณะเดียวกันนั้นก็มีผู้ที่นำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมาสร้างโอกาสทางธุรกิจ ท าให้เกิด พัฒนาการในเทคโนโลยีที่ใช้ประกอบการทำธุรกิจ เติบโตขึ้นจนกลายเป็นการค้าผ่านทางช่องทางอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce : E-Commerce) ส าหรับในปัจจุบันจะเห็นได้ ว่ามีผู้สนใจท าการค้าผ่านช่องทางนี้เป็นจ านวนมาก ทั้งที่เป็นนิติบุคคล บริษัท ห้างร้าน และบุคคลธรรมดา โดย ที่รูปแบบที่พบเห็นได้บ่อย ได้แก่ การเปิดเว็บไซต์ของตนเอง ตัวอย่างเช่น บริษัท เพาเวอร์บาย จ ากัด ซึ่งเป็น บริษัทที่จ าหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าในเครือเซ็นทรัล มีการจ าหน่ายสินค้าผ่านเว็บไซต์ (www.powerbuy.co.th)
ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
     การพิจารณาประเภทของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถพิจารณาได้จากหลายหลักการ ซึ่งใน บทเรียนนี้จะใช้หลักการของคู่ค้า จากหลักการของคู่ค้าเมื่อพิจารณาความเกี่ยวข้องกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วจะแบ่งกลุ่มบุคคลที่มี ความเกี่ยวข้องออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่
 - กลุ่มธุรกิจ (Business) 
 - กลุ่มรัฐบาล (Government)
 - กลุ่มประชาชน (Citizen) ผู้บริโภค (Consumer) หรือ ลูกค้า (Customer)
                  ในการพิจารณาความสัมพันธ์นั้นจะมองจากกลุ่มด้านหน้าไปด้านหลัง เช่น Business to Consumer จะ มองได้ว่า ผู้จ าหน่ายก็คือกลุ่มธุรกิจ และ ผู้ซื้อก็คือกลุ่มของผู้บริโภค และในการเขียนความสัมพันธ์นั้นจะเขียนให้ สั้นขึ้น โดยใช้เลข “2” แทนคำว่า to และใช้ตัวอักษรตัวแรกของแต่ละกลุ่มแทน ดังนั้น จากความสัมพันธ์ Business to Consumer จะเขียนแทนได้ว่า B2C จากความสัมพันธ์ทั้งหมดที่ได้กล่าวไว้นั้น จะเห็นได้ว่ามีทั้งหมด 9 ลักษณะ แต่ในที่นี้จะได้กล่าวเฉพาะ ความสัมพันธ์หลัก ๆ ที่พบได้โดยทั่วไปซึ่งมี 5 ลักษณะดังนี้
 1. Business to Consumer หรือ Business to Customer (B2C) เป็นลักษณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการ ขายสินค้าแก่ลูกค้าห รือผู้บ ริโภค ซึ่งจะเป็นป ระเภทที่พบได้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ Zalora (http://www.zalora.co.th) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่จ าหน่ายสินค้าเครื่องประดับเครื่องแต่งกายให้กับลูกค้าทั่วไป 
2. Business to Business (B2B) เป็นลักษณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการขายสินค้ากับกลุ่มธุรกิจด้วยกัน ซึ่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะขององค์การขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายวัตถุดิบระหว่างกัน เช่น ธุรกิจซีพีออลล์ ธุรกิจ Microsoft ธุรกิจCisco เป็นต้น
3. Business to Government (B2G) เป็นลักษณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการกับกลุ่มรัฐบาล เช่น การ ให้บริการจัดซื้อจัดจ้างแก่หน่วยงานรัฐบาล ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกแทนหน่วยงานภาครัฐที่จะต้องเป็นผู้การ ดำเนินเองทั้งหมด ก็ให้กลุ่มธุรกิจเอกชนดำเนินการลงทุนเทคโนโลยีต่าง ๆ แทนให้ ตัวอย่างเช่น บริษัท กสท โทรคมนาคม จ ากัด (มหาชน) เป็นผู้ให้บริการในการซื้อจัดจ้างในลักษณะการประมูลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auction) ให้หน่วยงานภาครัฐ 
4. Government to Citizen (G2C) เป็นลักษณะที่กลุ่มรัฐบาลให้บริการ (ฟรี) กับกลุ่มประชาชน ผ่าน ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์การรับสมัครบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา หรือ Admission (http://www.cuas.or.th/) ซึ่งภาครัฐให้บริการแก่นักเรียนที่ศึกษาส าเร็จในระดับมัธยมศึกษา หรือ ระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ได้สมัครเพื่อเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในระบบกลาง 
5. Consumer to Consumer (C2C) เป็นลักษณะที่กลุ่มผู้บริโภคขายสินค้าให้กับกลุ่มผู้บริโภคด้วย กันเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นการค้าปลีก สินค้าทำเอง หรือสินค้ามือสอง และมักจะอาศัยเว็บไซต์ตลาดกลางใน การขายสินค้า เช่น การซื้อขายสินค้าด้วยกันเองของผู้บริโภคโดยผ่านบริการของเว็บไซต์ Pantip Market (http://www.pantipmarket.com) 

กระบวนการซื้อสินค้าด้วยรูปแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
สำหรับการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้า และการขายสินค้ารูปแบบของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นก็ สามารถเทียบเคียงได้กับการซื้อขายสินค้าในรูปแบบปกติ แต่ในบางขั้นตอน การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จะสามารถ เพิ่มเติมความสะดวกสบายในการใช้บริการของลูกค้าได้ ในที่นี้จะได้อธิบายจำแนกเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ 
        ขั้นที่ 1 การค้นหา เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าจะค้นหาร้านที่จำหน่ายสินค้า ซึ่งจะเป็นการค้นหาเว็บไซต์และระบุ เว็บไซด์ที่ตรงกับความต้องการในการเลือกซื้อของลูกค้า 
       ขั้นที่ 2 การเลือก เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าได้เห็นคุณสมบัติของสินค้าในด้านต่าง ๆ เช่น ภาพสินค้า รายละเอียดสินค้า คุณภาพสินค้า และราคาสินค้า เป็นต้น โดยที่บางเว็บไซต์อาจมีฟังก์ชันในการเปรียบเทียบสินค้า ในด้านต่าง ๆ หรือบริการในการติดต่อพนักงานในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพิ่มเติมผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่ง สามารถเทียบได้กับการซื้อสินค้าที่ร้านค้าตามปกติ และนอกจากนั้นยังรวมถึงบริการของผู้จ าหน่าย ซึ่งลูกค้าจะเป็น ผู้เลือกและตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าใด จากเว็บไซต์ไหน 
       ขั้นที่ 3 การซื้อสินค้าและบริการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นขั้นตอนการซื้อสินค้าและบริการผ่านทางรูปแบบ อิเล็กทรอนิกส์ โดยที่หลังจากลูกค้าเลือกสินค้าแล้ว ก็จะระบุวิธีการจัดส่งและการชำระเงิน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในข้อมูลลูกค้า ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ส าหรับรูปแบบของการช าระ เงินจะได้อธิบายเพิ่มเติมต่อไป 
      ขั้นที่ 4 การจัดส่งสินค้า หลังจากที่ลูกค้าได้ซื้อสินค้า ผู้จำหน่ายจะดำเนินการจัดส่งสินค้าซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับลักษณะของสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าซื้อ โดยถ้าเป็นสินค้าในกลุ่มที่จับต้องไม่ได้ เช่น ซอฟต์แวร์ เพลง การจอง ตั๋วต่าง ๆ บริการธนาคารออนไลน์ เป็นต้น ลูกค้าจะสามารถดาวน์โหลดนำไปใช้หรือตรวจสอบผลการให้บริการได้ แต่ถ้าเป็นสินค้าที่จับต้องได้ผู้จ าหน่ายก็จะดำเนินการจัดส่งตามวิธีการและสถานที่จัดส่งที่ลูกค้าได้แจ้งไว้ โดยการจัดส่งนั้นผู้จ าหน่ายอาจใช้บริการจากผู้ให้บริการในการจัดส่งซึ่งมีหลายบริษัท เช่น ไปรษณีย์ไทย DHL 
     ขั้นที่ 5 การบริการหลังการขาย เป็นขั้นตอนในการให้ความคุ้มครองและสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า โดยที่ลูกค้าสามารถติดต่อคืนสินค้า เปลี่ยนสินค้า ซ่อมแซมสินค้า หรือขอคำปรึกษาในเรื่องสินค้า บริการตาม ระยะเวลาข้อตกลง ซึ่งทั้งนี้ผู้จำหน่ายจะได้มีการเก็บข้อมูลในการซื้อสินค้าต่าง ๆ ของลูกค้าไว้เช่น ชื่อนามสกุล ที่ อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ประวัติการสั่งสินค้า เป็นต้น จะเป็นการเพิ่มความพอใจให้กับลูกค้า และจะเพิ่มความเป็นไปได้ ในการเข้ามาเยี่ยมชมหรือเป็นลูกค้ากับเราอีกครั้งก็ได้ 
     ขั้นที่ 6 การประเมินผลหลังการขาย นอกเหนือจากที่ผู้จำหน่ายอาจจัดให้มีช่องทางในการติดต่อสื่อสาร เช่น การแจ้งข่าวสารผ่านเว็บไซต์ เว็บบอร์ด หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์แล้วนั้น อาจจะมีการช่องทางในการ ประเมินผลหลังการขาย โดยอาจจะเป็นการจัดอันดับเรตติ้งของผู้จ าหน่าย ความชอบในสินค้า ซึ่งผู้ซื้อจะเป็นผู้ท า การประเมิน ซึ่งส่งผลดีต่อลูกค้ารายอื่น ๆ ที่มีความสนใจจะได้เข้ามาพิจารณาการประเมินผลของลูกค้าที่เคยใช้ บริการ และเป็นผลดีต่อร้านค้า

   การชำระเงินกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
 ในการซื้อสินค้าผ่านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(ขั้นตอนที่ 3 ของขั้นตอนการซื้อ) มีวิธีการในการรับชำระ เงินอยู่หลายหลายวิธีการด้วยกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้จำหน่ายสินค้าจะได้จัดให้มีช่องทางในการชำระเงินให้กับผู้ซื้อ วิธีการใดได้บ้าง สำหรับในบทเรียนนี้จะนำเสนอวิธีการชำระเงินที่เป็นที่นิยมของผู้จำหน่าย ดังนี้ 
          - กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Wallets) 
  เป็นแนวคิดในการสร้างข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ต ของลูกค้าแต่ละคนให้เสมือนเป็นกระเป๋าเงินตามปกติที่ใช้งานกัน ซึ่งภายในระบบกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์นั้นจะ ประกอบด้วยข้อมูล เช่น ข้อมูลตัวบุคคลเจ้าของระบบ ข้อมูลที่อยู่ ข้อมูลบัตรเครดิต เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic cash) เป็นต้น ซึ่งเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic cash) คือ จำนวนเงินที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการ ค านวณการเก็บ และการใช้การจ่ายผ่านทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถทำได้โดยลูกค้าจะเปิดบัญชีกับธนาคาร และกำหนดเอกลักษณ์ขึ้นมาเอง จากนั้นจะได้รับเงินสดอิเล็กทรอนิกส์มา เมื่อลูกค้าต้องการถอนเงินออกจาก ธนาคาร หรือซื้อสินค้าก็สามารถทำผ่านอินเทอร์เน็ต โดยจะแสดงสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อตรวจสอบ เมื่อธนาคาร ตรวจสอบเอกลักษณ์เรียบร้อยแล้วจะแสดงจำนวนเงินที่ลูกค้าต้องการออกมา และ ทำการลดจำนวนเงินจากบัญชี ของลูกค้าออกตามที่ลูกค้าต้องการ และสำหรับในการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้านั้น เว็บไซต์จะได้มีการจัดเตรียม หน้าการช าระเงินที่สามารถเชื่อมโยงกับ กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นก็จะสามารถระบุการช าระเงินว่าจะใช้ ข้อมูลบัตรเครดิต หรือเงินสดอิเล็กทรอนิกส์อีกทีหนึ่ง
           - เช็คอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Checks)
    มีพื้นฐานจากเช็คโดยปกติที่เป็นกระดาษ แต่ได้มีการ ปรับเปลี่ยนโดยนำเทคโนโลยีมาประกอบการทำงานให้มีความสะดวกขึ้น เช่น เทคโนโลยีลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signatures) นำมาใช้ตรวจสอบข้อมูลการช าระเงินของผู้ซื้อสินค้าแทนการลงชื่อกำกับบนเช็คแบบปกติ ซึ่งจะเป็นการรับรองผู้ชำระเงิน รับรองธนาคารของผู้ชำระเงิน และบัญชีธนาคาร
            - การชำระผ่านบริษัทไปรษณีย์ไทย
     บริษัทไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดส่งเงินหรือ เอกสารแทนเงิน จากผู้ซื้อไปยังผู้จำหน่าย ซึ่งมีบริการที่หลายลักษณะ เช่น บริการธนาณัติ บริการตั๋วแลกเงิน บริการไปรษณีย์เก็บเงิน รวมไปถึงบริการเพย์ แอท โพสท์ ซึ่งการใช้บริการทางการเงินของบริษัทไปรษณีย์ไทยใน ปัจจุบันก็มีความสะดวกเนื่องจากมีหน่วยให้บริการในพื้นที่ต่าง ๆค่อนข้างมาก 
            - การชำระเงินผ่านธนาคาร 
      การใช้บริการชำระค่าสินค้าผ่านทางธนาคารส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของการ โอนเงินซึ่งลูกค้าจะต้องทราบหมายเลขบัญชี หรือข้อมูลผู้จำหน่ายสินค้าก่อนจึงจะช าระเงินได้ ซึ่งวิธีการนี้มีความ สะดวกเนื่องจากในปัจจุบันมีบริการของธนาคารออนไลน์ หรือตู้ATM มากขึ้น แต่มีความเสี่ยงถ้าหากผู้ซื้อโอน เงินไปให้ก่อนแต่ผู้จำหน่ายยอมไม่ส่งสินค้ามาให้
             การชำระเงินผ่านบัตรชำระเงิน
       บัตรชำระเงินที่มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบันมี 3 ลักษณะ 
1. บัตรเครดิต (Credit Card) เป็นบัตรที่มีการให้วงเงินพิเศษกับผู้ถือบัตร ซึ่งใช้ในการซื้อสินค้า และเมื่อ ถึงกำหนดจ่ายเงิน จึงจ่ายเงิน ซึ่งสามารถจ่ายแบบเต็มจำนวนหรือบางส่วนก็ได้ตามแต่เงื่อนไขของบริษัทผู้ออกบัตร อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยของข้อมูลที่มีการถ่ายโอนทางอินเทอร์เน็ตยังเป็นที่วิตกสำหรับลูกค้า ผู้ให้บริการบัตร เครดิต ได้แก่ บริษัทวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดก็ได้ใช้วิธีการรักษาความปลอดภัย ที่เรียกว่า SET (Secure Electronic Transaction) ทำให้มีความมั่นใจในการใช้บริการได้มากยิ่งขึ้นฃ
 2. บัตรเดบิต (Debit Card) เป็นบัตรที่มีการเชื่อมโยงวงเงินเข้ากับบัญชีเงินฝาก ดังนั้นในการใช้บัตรใน การซื้อสินค้า จะต้องมีเงินคงเหลือในบัญชีและเมื่อซื้อสินค้าก็จะตัดวงเงินจากบัญชีโดยทันที
 3. บัตรชาจต์ (Charge Card) เป็นบัตรที่ใช้ซื้อสินค้าก่อนแล้วจ่ายภายหลัง คล้ายบัตรเครดิต แต่จะไม่มี การจ ากัดวงเงินในการใช้จ่าย และเมื่อถึงกำหนดชำระเงินจะต้องจ่ายเต็มจำนวน เช่น บัตร American Express เป็นต้น

ภัยคุกคามต่อพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
     การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน มักจะมีภัยคุกคามต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งในที่นี้ได้นำเสนอตัวอย่าง ภัยคุกคามสำหรับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ดังนี้ 
          - ความปลอดภัย (Security) การใช้งานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จะมีโอกาสสุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยของการใช้งาน เช่น การจารกรรม ข้อมูลบัตรเครดิต เป็นต้น
           - ทรัพย์สินทางปัญญา (Theft of intellectual property) การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การละเมิดลิขสิทธิ์เพลงออนไลน์ การขายสินค้าปลอม การปลอม แปลงเครื่องหมายการค้า เป็นต้น ซึ่งการซื้อขายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และสินค้าที่เป็นของปลอม แปลงนั้น อาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภคด้วยฃ
          - กลโกงทางอินเทอร์เน็ต (Fraud) มีหลายลักษณะ เช่น การฉ้อโกงทางโทรศัพท์ โดยการหลอกคืนภาษีและให้ท าธุรกรรมผ่านตู้ATM การส่งข่าวสารปลอมผ่านทางอีเมล์ (Phishing) โดยหลอกให้ผู้ใช้เข้าใจว่ามาจากองค์การที่น่าเชื่อถือ และสร้าง เว็บไซต์ปลอมที่เหมือนกับเว็บไซต์จริงแล้วหลอกให้ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลที่มีความสำคัญลงไป การ โกงของมือสองออนไลน์ เช่น การสร้างเว็บไซต์เพื่อขายสินค้า แต่ไม่มีสินค้าอยู่จริง ๆ และเมื่อลูกค้าจ่ายเงิน ก็ไม่มี สินค้าส่งให้ ซึ่งถ้าลูกค้าจะติดตามก็ทำได้ยาก เพราะข้อมูลที่ปรากฏทางเว็บไซต์อาจจะเป็นข้อมูลปลอม เป็นต้น
          - การคุกคามความเป็นส่วนตัว (Invasion of privacy) การคุมคามความเป็นส่วนตัว เช่น สแปมเมล์ (Spam Mail) เป็นประเภทหนึ่งของอีเมล์ขยะ (Junk Mails) โดยจุดประสงค์ของผู้ส่งสแปมเมล์ มักต้องการโฆษณาสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ไปหาคนจำนวนมาก โดยผู้ ส่งไม่จำเป็นต้องรู้จักเป้าหมายมาก่อน และการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค เช่น การดักฟังโทรศัพท์ หรือ การบันทึกพฤติกรรมการเข้าใช้งานเว็บไซต์ของลูกค้า เพื่อน าไปใช้ประโยชน์ทางการค้า เป็นต้น
          - ความไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต (Lack of internet access) เนื่องจากการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมาก ดังนั้นถ้าหาก พื้นที่ในการให้บริการของอินเทอร์เน็ตไม่ครอบคลุม ก็จะส่งผลต่อการท าธุรกิจ รวมถึงความคมชัด หรือความแรง ของสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ส่งผลต่อการทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
         - ขอบเขตอำนาจของกฎหมายและภาษี(Legal jurisdiction and taxation) การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ถึงแม้จะเป็นการท าการค้าไร้พรมแดน แต่ในบางประเทศนั้นจะมีการกำหนดข้อ กฎหมายควบคุม หรือห้ามจำหน่ายสินค้าบางอย่าง เช่น อาวุธ หรือยา เป็นต้น รวมไปถึงอาจมีการกำหนดอัตรา ภาษีต่าง ๆ ไว้เพื่อควบคุมการจำหน่ายสินค้า 

กลโกง การป้องกัน และวิธีการแก้ปัญหาจากการใช้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
     กลโกง การหลอกลวงของผู้จ าหน่าย ในการใช้งานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ลูกค้าอาจพบกับปัญหา ซึ่งอาจเป็นกลโกงของผู้จ าหน่ายสินค้าได้ หลายรูปแบบ ซึ่งในที่นี้จะได้ขอตัวอย่างเพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบ เช่น
       - การหลอกลวงให้เปิดเผยข้อมูลทางการเงินหรือบัตรเครดิต อาจพบได้ในกรณีที่ลูกค้าซื้อสินค้าจาก เว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือเว็บไซต์ที่ไม่มี วิธีการป้องกันใน ก รส่งข้อมูลทางการเงิน (อ้ างอิง : www.pawoot.com/online-fraud)
       - การเปิดร้านค้าปลอม โดยอาจเปิดเว็บไซต์เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ หลอกให้ลูกค้า โอนเงิน แต่ไม่ส่งสินค้าไป ให้ - การหลอกประกาศขายสินค้า ใช้ข้อความประกาศว่าเป็นสินค้าราคาถูก และบางครั้งอาจพบว่าร้านค้ามี การให้ที่อยู่ปลอมเพื่อความน่าเชื่อถือ และหลอกให้โอนเงินไปให้ โดยส่วนใหญ่มักพบในกลุ่มสินค้าราคาสูง เช่น กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์สมาร์ทโฟน เป็นต้น 
       - การส่งสินค้าปลอม สินค้าไม่ถูกลิขสิทธิ์ หรือสินค้าที่ไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ
       - การโฆษณาสินค้าที่หลอกลวงในสรรพคุณมากเกินจริง เช่น ยา วิตามิน อาหารเสริมต่าง ๆ (อ้างอิง : www.thaiall.com/article/10method.htm)
       - การหลอกลวงในการประมูลสินค้า เช่น ผู้จ าหน่ายไม่ส่งสินค้าให้ผู้ชนะการประมูลเพราะไม่มีสินค้าจริง , การปั่นราคาให้ราคาสูงเกินจริง เป็นต้น (อ้างอิง : www.nextproject.net/content/?00097) 

           การป้องกันเพื่อการซื้อสินค้า 
      จากตัวอย่างกลโกง การหลอกลวงต่าง ๆ นั้น ในฐานะของผู้ซื้ออาจมีวิธีการในการป้องกันได้โดยสามารถ พิจารณาได้ด้วยหลักการดังนี้ 
         1. ผู้ซื้อควรเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือ คือ มีรายละเอียดชื่อ ที่อยู่ของผู้จำหน่าย สินค้า หรือวิธีที่สามารถติดต่อได้ โดยอาจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์ Search engine เช่น Google หากไม่ มั่นใจผู้จ าหน่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงไปใช้บริการของร้านค้าที่เป็นที่รู้จัก
         2. อย่าเห็นแก่ราคาสินค้าที่ถูกเกินไป และพยายามเร่งรัดและระมัดระวังในการซื้อสินค้า รวมถึงต้องเก็บ หลักฐานการซื้อสินค้าเอาไว้เสมอ 
         3. ห้ามให้ข้อมูลส าคัญ เช่น หมายเลขบัตรประชาชน เป็นต้น และถ้าหากเป็นการชำระเงินด้วยบัตร เครดิตทางอินเทอร์เน็ต ผู้ซื้อต้องระวังการให้ข้อมูลบัตรเครดิต เช่น หมายเลขบัตร วัน เดือน ปีที่บัตรหมดอายุ หรือ ข้อมูลส่วนบุคคลแก่ผู้จำหน่ายสินค้าที่ไม่น่าไว้วางใจ หรือไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยขณะช าระเงิน และควร สอบถามหรือตรวจสอบสัญญาหรือเงื่อนไขบัตรชนิดต่าง ๆ กับธนาคารหรือบริษัทที่ออกบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือ บัตรที่สามารถช าระเงินทางอินเทอร์เน็ตได้ว่า ผู้ถือบัตรจะได้รับความคุ้มครองในกรณีใดบ้าง และมีข้อควรปฏิบัติ อะไรบ้าง 
        4. ถ้าหากเป็นผู้จำหน่ายสินค้ารายใหม่ หรือยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาด ก็ไม่ควรโอนเงินหากยังไม่ได้รับสินค้า หรือถ้าเป็นไปได้ควรนัดรับสินค้าและตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนการชำระเงิน 
        5. สังเกตการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้จำหน่ายสินค้า เพื่อสร้างความน่าไว้วางใจในเว็บไซต์ ที่ให้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้จำหน่ายสินค้าควรจะจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กับกรมพัฒนาธุรกิจ การค้า กระทรวงพาณิชย
        6. สังเกตการใช้โปรโตคอล SSL (Secure Sockets Layer) เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็น ส่วนตัว เว็บไซต์มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเช่นเว็บไซต์ของธนาคาร หรือ เว็บไซต์ขายสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือ มักจะมีการรักษาความปลอดภัยด้วยโปรโตคอล SSL ซึ่งสังเกตได้จาก การมีสัญลักษณ์รูปแม่กุญแจปิดล็อค และ นอกจากนั้นที่ URL จะเปลี่ยนจาก โปรโตคอล http:// เป็น https://
                        วิธีการแก้ปัญหาเมื่อพบว่าโดนโกง  
        ถ้าหากลูกค้าพบปัญหาว่าตนเองโดนโกงไปแล้วควรรวบรวมข้อมูลหลักฐาน เพื่อติดตามคนร้าย อาทิเช่น (อ้างอิง : www.pawoot.com/online-fraud)
 - หมายเลข IP address ของคนร้าย (ช่วงเวลาและสถานที่) 
- หมายเลขโทรศัพท์คนร้าย - E-Mail คนร้าย
 - บัตรประชาชนที่คนร้ายใช้อ้าง - วัน เวลา สถานที่ ลงประกาศ นัดเจอ โอนเงิน 
- เลขบัญชี การเดินทางของเงินในบัญชี ทั้งข้อมูลธนาคาร สาขา การโอนเงิน 
- การสังเกตน้ำเสียงและลักษณะของคนร้าย จากนั้นให้ดำเนินการแก้ปัญหาได้ ในช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
                      - เก็บรวมรวมหลักฐานต่าง ๆ แล้วไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจากนั้นติดต่อกองบังคับ การปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(http://www.tcsd.in.th) เพื่อ ประสานติดตามเรื่องต่อไป 
                      - ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานเพื่อคุ้มครองการซื้อ สินค้าจากตัวแทนขายตรง คุ้มครองตัวแทนขายตรงจากเจ้าของสินค้าและยังครอบคลุมถึงการค้าแบบ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย
                       - กรณีชำระค่าสินค้าโดยการโอนเงิน ให้รีบติดต่อธนาคารโดยอาจติดต่อขอระงับการโอนเงิน ซึ่ง ทางธนาคารจะทำการยกเลิกการโอนเงินให้โดยติดตามนำเงินจากบัญชีปลายทางที่โอนไปกลับมาคืน ซึ่ง วิธีการนี้โดยส่วนมากมักได้ผลถ้าหากรีบดำเนินการเมื่อพบความผิดปกติ 
                        - กรณีชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเครดิต ซึ่งหากพบรายการผิดปกติใด ๆ หรือเชื่อว่าตนอาจถูกหลอก หรือมีผู้ใช้บัตรเครดิตโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทหรือธนาคารที่ออกบัตรทราบ และทำหนังสือปฏิเสธการใช้บัตรเพื่อระงับรายการนั้นไว้ชั่วคราว 

จริยธรรมและมารยาทในการใช้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
      ในฐานะของผู้ใช้งานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้จริยธรรมและรักษามารยาทต่อการใช้ งาน สามารถสรุปได้ดังนี้ 
        - ด้านการสนทนา ทั้งผู้ซื้อและผู้จำหน่ายควรรักษามารยาทในการสนทนาโดยการเลือกใช้ภาษาที่สุภาพ ในการโต้ตอบและการเจรจา รวมถึงควรตรวจสอบการสะกดค าต่าง ๆ เนื่องจากในอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นพื้นที่ สาธารณะที่ใครก็สามารถเข้ามาอ่าน และอาจมีเด็กที่เข้ามาอ่านได้ด้วย ตลอดจนข้อมูลใด ๆ ที่น าเสนอบน อินเทอร์เน็ตอาจมีผลผูกพันทางกฎหมายได้
        - ด้านการเลือกซื้อสินค้า ในฐานะของผู้ซื้อสินค้าก็ควรเลือกซื้อสินค้าที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ รวมถึงถูกต้อง ตามกฎหมายของประเทศ
         - ด้านการชำระเงิน ผู้ซื้อสินค้าควรชำระเงินให้ตรงตามกำหนดวันเวลาที่ผู้จำหน่ายสินค้าได้แจ้งไว้ เพื่อ ไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องของการยกเลิกการขายโดยไม่ชำระเงิน แต่ถ้าหากไม่ต้องการซื้อสินค้าแล้วก็ควรแจ้งแก่ผูจ าหน่ายสินค้า เพื่อจะได้ไม่เป็นการกีดกันผู้ซื้อรายอื่นที่ต้องการได้รับสินค้าจริง ๆ และนอกจากนั้นแล้วจะต้อง ตรวจสอบการช าระเงินและเก็บเอกสารไว้เผื่อเกิดปัญหา
         - ด้านการให้ข้อมูล ผู้ซื้อควรให้ข้อมูลที่เป็นจริง ที่จ าเป็นแก่ผู้จำหน่ายสินค้าเพื่อเป็นการแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจการซื้อสินค้า เพราะบางครั้งผู้จำหน่ายสินค้าเองก็อาจโดนลูกค้าโกงได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้รวมถึงถ้าหาก ผู้จำหน่ายสินค้ามีบริการในส่วนของการสอบถามความพึงพอใจ ในฐานะลูกค้าก็ควรให้ข้อมูลที่เป็นจริงเพื่อที่จะได้ เป็นประโยชน์ต่อผู้จำหน่ายสินค้า และผู้ซื้อรายอื่น ๆ
         - ด้านความไว้วางใจ ผู้ซื้อเองต้องเลือกซื้อจากผู้จำหน่ายสินค้าที่น่าเชื่อถือ อย่าเห็นแก่ของราคาถูก อย่า เชื่อใจและไว้ใจมากเกินไป หากเกิดปัญหาขึ้นมาภายหลังอาจจะยุ่งยากในการติดตาม 
         - ข้อสุดท้ายผู้ซื้อควรจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจในวิวัฒนาการของเทคโนโลยี และกฎหมาย ที่ เกี่ยวข้องกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์อยู่เสมอ

 ข้อดี และข้อเสียของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
                  ข้อดีของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1. ประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทางไปซื้อสินค้า เพียงแค่เลือกซื้อผ่านเว็บไซต์เท่านั้น 
2. ประหยัดเวลาในการติดต่อ แค่ใช้เวลาไม่นานแค่เพียงไม่กี่วินาทีเราก็สามารถติดต่อซื้อสินค้าได้
3. การเปิดร้านค้าในอินเตอร์เน็ตเป็นการขยายตลาดสู่ทั่วโลก ไม่จำกัดเฉพาะแค่ในประเทศ และยังทำให้ ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการได้เลือกซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น 
4. ผู้จ าหน่ายสินค้าสามารถเปิดร้านได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด และผู้บริโภคก็สามารถซื้อสินค้า ได้ทุกวัน 
                  ข้อเสียของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
1. ผู้ซื้ออาจซื้อแล้ว แต่ไม่ได้รับสินค้าจริง หรือได้รับสินค้าที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือสินค้าชำรุดเสียหาย หรือสูญหาย 
2. สินค้าอาจเป็นสินค้าที่ไม่ผ่านการทดสอบ หรือสินค้าไม่มีคุณภาพ 
3. เสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง หรือถูกโกงราคาหรือถูกหลอกลวงได้ง่าย 
4. ข้อมูลสินค้าบางอย่างอาจมีการโอ้อวดคุณภาพสินค้าเกินจริง โดยที่เราไม่สามารถตรวจสอบได้ 
5. ในระบบกฎหมายของไทย ยังไม่มีการให้ความคุ้มครองอย่างทั่วถึงเพียงพอ ความปลอดภัยในข้อมูลทาง อินเตอร์เน็ตจึงยังไม่ปลอดภัยพอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น